วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พืชที่นำมาทอเสื้อผ้า

พืชที่นำมาทอเสื้อผ้า

ต้นฝ้าย
เส้นใยฝ้ายมีความละเอียดสูง นักออบแบบเสื้อผ้าและอุตสาหกรรมสิ่งทอนิยมผลิตเสื้อผ้าโดยคัดฝ้ายที่มีคุณภาพ มีความชื้นตรงตามมาตรฐาน ฝ้ายที่นำมาใช้ต้องเป็น หีบฝ้าย คือนำปุยฝ้ายไปแยกเมล็ดออกจากกันแล้ว  อุตสาหกรรมสิ่งทอในปัจจุบันนั้นมักนำใยฝ้ายเป็นส่วนประกอบกับในการผลิตผ้า ไม่ว่าจะเป็นฝ้ายบริสุทธิ์หรือผสมกับผ้าชนิดอิ่นๆเช่น ใยผ้าลินิน ใยสับปะรด ใยฝ้ายจึงได้รับนิยมไปทั่วโลก อีกทั้งผลผลิตฝ้ายก็เพียงพอต่อความต้องการของตลาด

ฝ้ายมีลักษณะเป็นไม้พุ่ม เกิดในที่ไม่มีน้ำท่วมขัง เพียงน้ำค้างก็สามารถงอกได้ เพียงต้องดูแลไม่ให้ขาดน้ำไปตลอดการเก็บเกี่ยว ฝ้ายงอกได้ในดิน ดังนี้เช่น ดินร่วนเหนียว ดินเหนียว ดินร่วนทราย ดินทราย โดยเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี อากาศถ่ายเทดี เป็นที่โล่ง

เส้นใยฝ้ายมีคุณลักษณะที่ตลาดต้องการคือ เส้นใยมีความเหนียวเกาะยึดกันแน่น บิดเกลียวรวมเป็นเส้นด้าย เส้นใยมีความแข็งแรง ผืนผ้ามีความพริ้วไหว และมีความยืดหยุ่นพอที่จะผ่านกระบวนการผลิตเส้นด้าย

ตัวอย่างของใยฝ้ายที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดคือ ยีน(บางยี่ห้อสินค้าจะแสดงเป็นผ้าเดนิมส์ซึ่งก็คือผ้าฝ้ายชนิดทอพิเศษ ซึ่งเป็นฝ้ายจากเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี) ถูกนำมาผลิตกางเกงยีนมากที่สุด ตลาดที่รองรับการผลิตมากที่สุดคือกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน และกลุ่มวัยทำงาน เหตุผลที่กางเกงยีนเป็นที่นิยมไม่เป็นแต่เพียงเรื่องแฟชั่น แต่เป็นด้วยคุณสมบัติของผ้า ยีนมีความคงทน จากแรงฉีกขาด แสงแดด ทนทานต่อการใช้งาน ต้านทานแรงดึงต่างๆ จากการขัดถูซักผ้า แถมยังมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย เชื้อรา ย้อมสีน้ำเงินติดง่าย แต่มีข้อเสียคือ เส้นใยมีลักษณะหยาบ ผ้าที่ได้จึงไม่เงา

ฝ้ายประกอบไปด้วยเซลลูโลสซึ่งต่างจากเส้นใยสัตว์ซึ่งมีส่วนประกอบของโปรตีนเป็นส่วนใหญ่  เส้นใยสัตว์ก็เช่น แพะ แกะ หรือไหม





ใยป่านลินินหรือแฟลกซ์ Flax
ชื่อวิทยาศาสตร์ Linum usitatissimum เป็นพืชที่ปลูกในทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา และอีกหลายทวีป แต่ที่ได้ผ้าลินินที่มีคุณภาพที่สุดคือทวีปยุโรป โดยธรรมชาติผ้าลินินมีสีงาช้าง สีน้ำตาลอ่อน ส่วนสีขาวที่เห็นส่วนใหญ่นั้นเกิดจากการฟอกสี
การที่จะได้ผ้าลินินที่มีคุณภาพ จะต้องเก็บเกี่ยวโดยการตัดต้นให้ชิดรากที่สุด ไม่ควรเลือกต้นที่แห้งเกินไป เพราะจะทำให้ยากต่อการขึ้นรูปเส้นใย ตัวอย่างผ้าเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าเต็นท์ ผ้าใบ
มีปริมาณเซลลูโลสสูงแต่มีปริมาณน้อยกว่าใยฝ้าย เซลล์ภายในป่านลินินมีขนาดยาว เส้นใยลินินจึงมีขนาดยาวตามไปด้วย ใยป่านลินินทนความร้อนสูง ติดไฟยาก

ด้วยคุณสมบัติผ้าลินินดูดซับน้ำได้เร็วและระเหยน้ำได้เร็ว เมื่อส่วมใส่ด้วยผ้าลินินจะรู้สึกเย็น สัมผัสเนื้อผ้าก็เย็น  เนื้อผ้าเรียบ มีความหยีดหยุ่น หากใส่ในฤดูร้อนช่วยผ่อนคลายความร้อน

เมื่อซักผ้าลินินเสร็จแล้ว ผ้าจะยับและเกิดริ้วรอยได้ง่าย ดั้งนั้นจึงต้องรีดผ้าบ่อยเพื่อให้ผ้าเรียบ แต่ในผู้คนที่นิยมแฟชั่นกับนิยมผ้าที่ไม่เรียบเหล่านี้




สับปะรด Pineapple
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ananas comosus
สับปะรดกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ เป็นพืชที่ปลูกได้ในเขตร้อน ปลูกได้ตลอดทั้งปี สับปะรดขึ้นได้ดีดินร่วนปนทราย  เป็นพืชที่กินผลและสามารถทำประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอได้
เนื่องด้วยมีเซลลูโลสบริสุทธิ์ เส้นใยเหนียว มีความแข็งแรง ดูดซับได้ดี ทนต่อสารเคมี รังสีและความร้อน

เส้นใยมีสีขาว สีนวล เรียบนุ่ม เส้นเหนียว มีความบริสุทธิ์ โปร่งแสง อุ้มน้ำได้ดี รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส

ใบสับปะรด ก็สามารถนำมาทำเส้นใยได้เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าโดยปกติเกษตรกรนำใบสับปะรดทิ้ง และเส้นใยจากใบสับปะรดเป็นเส้นใยคุณภาพ

ตัวอย่างเส้นใยจากใบสับปะรด เช่น Pina จากประเทศฟิลิปปินส์ ในภาษาไทยเรียกว่าผ้าบารอง ผ้าบารองเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของฟิลิปปินส์ เริ่มผลิตตั้งศตวรรษที่ 16  ผ้า Pina ใช้ส่วมใส่เสื้อผ้าในงานทางการในฟิลิปปินส์ ผ้ารูปแบบตาราง กระเป๋า เสื่อ เสื้อผ้า มีน้ำหนักเบา มีความแข็ง และสิ่งจำเป็นอื่นๆ (คำว่า Pina มาจากภาษาสเปน หมายถึงสับปะรด)

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสับปะรดเช่น  วัสดุปิดปากแผล แมชบำรุงผิวหน้า  หรือการผสมเส้นใยสับปะรดกับเส้นใยชนิดอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์ประดับเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ตบแต่งบ้าน



ผักตบชวา Water Hyacinth
ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Eichlornia crassipes Solms
ผักตบชวาโดยดั้งเดิมไม่มีในไทย  ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก กำจัดยาก จึงนิยามเรียก เอเลี่ยน สปีชี่ส์  โดยแท้จริงนั้นผักตบชวามีถิ่นกำเนิดจากแม่น้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล ทวีปอเมริกาใต้

เส้นใยผักตบชวา มีความละเอียด เส้นใยสั้นและขาดง่าย ไม่มีความคงทน ขึ้นราง่าย
สินค้าส่วนใหญ่จากผักตบชวามักเป็นเเครื่องจักรสาน ใช้ในชีวิตประจำวันชาวไทย โดยผักตบชวานั้นจะคัดต้นที่ไม่มีตำหนิ โดยตัดลำต้นจากปลายใบถึงโคน

ผักตบชวายังทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกเช่น อำเภอวัชบุรี ร้อยเอ็ด ทำเปลญวนผักตบชวา , การส่งออกกรงเลี้ยงแมวจากผักตบชวาส่งออกประเทศญี่ปุ่น , สานผักตบชวาห่างๆสำหรับทำยึดเกาะบ้านดิน , มัดผักตบชวารวมกันเป็นแพน้ำและนำดินมาลงบนแพสามารถเป็นแปลงปลูกผักได้โดยแพมีอายุ 6 เดือน , ทำเชือก, อาหารเสริมเพาะเห็ด, ทำเสื้อคลุมโคนต้นไม้หรือกระทั่งทำปุ๋ยหมัก เลือกและวิเคราะห์ตามความเหมาะสมน่ะ








กล้วย Banana
เส้นใยยาว มีความเหนียว ทน เส้นใยคล้ายเส้นไหม มีสีเหลืองทอง
ผลิตภัณฑ์นั้นจะนำเส้นใยกล้วยผสมกับเส้นใยชนิดอื่น เช่นใยฝ้าย เพื่อทำเป็นผืนผ้า ผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกเช่น กระดาษใยกล้วย ฟองน้ำใยกล้วย เสื้อผ้าจากใยกล้วยลักษณะคล้ายเสื้อกันชงของภาคเหนือ ตลาดส่วนใหญ่ของสินค้าเหล่นี้มาจากต่างประเทศ เพราะในต่างประเทศนิยมสินค้าจากธรรมชาติล้วนๆและต้องปลอดสารพิษ



กัญชง Hemp (Hemp Fabric)
เส้นใยมีความอ่อนตัว และยาวแบบเรียงตัวโดยเป็นแนวตั้งสม่ำเสมอกันด้วย มีความเหนียว ทนทาน  ดูดซับความชื้นได้ดี ทำให้มีความเย็นชุ่มชื้น  ระบายถ่ายเทอากาศดีเยี่ยม

ผ้าจากกัญชง สามารถขับเหงื่อได้รวดเร็วเนื่องจากเส้นใยเป็นโพรงลักษณะไขว้ตัดกันไปมา เป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปหลายเหลี่ยมด้านไม่เท่า คล้ายแท่งแก้วปริซึม มีคุณสมบัติกระจายเสียง และคลื่นแสงได้ดี ผู้สวมใส่จึงไม่ร้อน ป้องกันแสง UV ได้ดีอีกด้วย

ด้วยโอกาสนี้ประเทศไทยจึงเหมาะแก่การปลูกกัญชงมาก เพราะขึ้นได้ดีในอากาศเขตร้อน และปลูกได้ 2-3 ครั้งต่อปี 120วันสามารถเก็บเกี่ยวได้

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พืชที่ก่อให้เกิดสารภูมิแพ้

พืชที่ก่อให้เกิดสารภููมิแพ้



ถั่วลิสง peanut หรือ groundnut
Local names เช่น earthnuts, ground nuts, goober peas, monkey nuts, pygmy nuts, pig nuts
ถั่วให้รสชาติ มัน อร่อย ประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้งคาวและหวาน รวมถึงแกล้มเหล้า ถั่วต้มก็ได้ หรือเป็นอาหารรับประทานยามว่าง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกเช่น ลดโคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันเบาหวาน ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคอ้วน เนื่องจากมีไฟเบอร์เยอะ การดูดซึมน้ำตาลและไขมันในลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ก็ช้า ทำให้ความหิวอาหารลดลง
สารอาหารที่มีมากให้ถั่วลิสง คือ โปรตีน โดยสูงพอๆกับไข่ไก่ นมวัว เนื้อสัตว์ โดยร่างกายของมนุษย์ดูดโปรตีนไปใช้ได้ง่าย ร่างกายแข็งแรง มีกำลัง นอกจากนี้ส่วนอื่นๆยังมีสรรพคุณทางยาเช่น เยื่อหุ้มเมล็ด  เปลือก ใบ ลำต้น น้ำมันถั่วเหลืองสกัด

ในส่วนที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้คือ โปรตีนในถั่ว ในประเทศสหรัฐอเมริการ ผลิตภัณฑ์สินค้าต้องระบุ food allergen ซึ่งเป็นการระบุส่วนประกอบของอาหาร ซึ่งเป็นวิธีการบอกกล่าวและการควบคุมให้ผู้บริโภคได้ทราบสารก่อภูมิแพ้ เพื่อที่จะปลอดภัยจากภยันตราย หากผู้บริโภคเกิดอาการแพ้จะมีอาการดังนี้ ตาแดง คัน น้ำหมูกไหล กลาก ลงพิษ หอบหืด

ทั้งนี้มีข้อยกเว้นอีกประการหนึ่งคือ หากว่าอาหารประเภทถั่วลิสงติดฉลากคำว่า highly refined oil หรือ fully refined oil ผู้บริโภคสามารถรับประทานได้แม้มีส่วนประกอบที่เป็นสารภูมิแพ้

highly refined oil หรือ fully refined oil เป็นกรรมวิธีที่ทำให้ถั่วลิสงมีโปรตีนเหลืออยู่น้อยหรือไม่มีโปรตีนเลย




บาร์เลย์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hordeum vulgare L.
พืชในวงศ์ Poaceae
บาร์เลย์ประกอลไปด้วยแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ โปรตีนและไขมันเป็นส่วนน้อย แต่มีชนิดของโปรตีนเยอะ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ โฟเลต แมงกานีส โปรตีน  
บาร์เลย์เป็นธัญพืชเมืองหนาว ผลิตและส่งออกในทวีปยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเมืองไทยก็ผลิตได้เช่นกัน ช่วงภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย เช่น เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง น่าน ลำพูน แม่ฮ่องสอน แต่ถิ่นกำเนิดจริงๆแล้วอยู่แทบซีเรียและอิรัก โดยแพร่หลายไปยังกรีกและโรมันอีกทีหนึง อาหารที่ทำส่วนใหญ่จะเป็นเค้กและขนมปัง

ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากบาร์เลย์เช่น เบียร์ แอลกอฮอร์ ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ เค้ก คุ้กกี้ วิสกี้ อาหารเสริม ธัญพืชอบกรอบ ขนมอบ






ถั่วเหลือง Soybean
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glycine max (L.) Merrill
ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยไขมันและโปรตีน รองลงมาคือ คาร์โบไฮเดรต  และสารเคมีในถั่วเหลืองเช่น เลซิติน  โอลิโกแซคคาไรด์ วิตามินอี สเตอรอล ไฟเตท
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองที่ผู้บริโภคควรรู้
น้ำมันถั่วเหลือง น้ำนมถั่วเหลือง ถั่วงอกที่เพาะจากถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วเน่า เทมเป้ ซอสถั่วเหลือง เต้าเจี้ยว  แต่ถ้าในอดีตชาวอเมริกันเคยปลูกถั่วเหลืองเพื่อเลี้ยงวัวโดยเฉพาะ




ใบคื่นช่าย


คื่นช่าย Celery
ชื่อวิทยาศาสตร์  Apium graveolens var.dulce
เป็นพืชที่มีไฟเบอร์เยอะมาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับประทานจาก ซุป สตู  หรือน้ำหอมสกัดจากเมล็ดคื่นช่าย  โดยลักษณะอาการแพ้เช่นเดียวกับถั่วลิสงโดยเฉพาะบริเวณรากของคื่นช่ายจะเกิดอาการแพ้มากกว่าบริเวณก้านและใบ

ในอดีตยุคคลาสสิคของกรีก ได้นำคื่นช่ายมาไว้อาลัยผู้ที่เสียชีวิตจาก อิสเมียนเกมส์ Isthmian games ในเมืองโครินทร์ ซึงภายหลังเกมส์ได้ถูกตัดออก  ให้เหลือเพียงโอลิมปิกเกมส์






เมล็ดงา
อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคมะเร็ง แมกนีเซียม สังกะสี เหล็ก และสาร lignin ซึ่งเป็นสารต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ป้องกันอาการแพ้  แต่ก็พบผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ในน้ำมันงาจากงา ก่อให้เกิดอาการแพ้ของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ประมาณ 1 % ของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้








ดอกหญ้าแพรก



หญ้าแพรก
ชื่อสามัญ Burmuda Grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cynodon dactylon
เป็นแหล่งโปรตีน เยื่อใยส่วนADF NDF , แคลเซียม , ฟอสฟอรัส , ลิกนิน หญ้าแพรกเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตและแพร่หลายได้เร็วมาก ทนดิน ทนน้ำท่วมขัง  หากไม่ควบคุมอาจเป็นวัชพืชได้ กระทั่งว่า แปลงดอกไม้ก็ขึ้นได้ ไม้พุ่ม ดินแห้งขนาดแตกเป็นรอย หญ้าแพรกขึ้นได้หมด  ดอกหญ้าแพรกเป็นช่อ ออกตรงข้อ ดอกมีขนาดเล็กสีเขียวหรือม่วง

ลักษณะช่อดอก
การนำไปใช้
ในวันประเพณีวันไหว้ครูเด็กๆนิยมนำดอกไม้หลากชนิดไปไหว้ครู หนึ่งในนั้นคือ หญ้าแพรกเพื่อรำลึกถึงความอดทน มานะ สอนให้ลูกศิษย์มีความรู้ไปประกอบสัมมาอาชีพ เป็นเด็กดี และโดยนัยยะยังมีความหมายไปทางพฤกษศาสตร์ของหญ้าแพรกด้วย

เป็นอาหารสัตว์ โค กระบือ แพะ แกะ






หญ้าขนนกหรือมอริสซัส Paragrass or Buffalograss or Panicum grass
ชื่อวิทยาศาสตร์ Brachiaria mutica
อุดมไปด้วยเยื่อใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นพืชที่ชอบดินที่มีน้ำตลอด เจริญเติบโตได้เร็วโดยแพร่กระจายทางเมล็ดและการแตกไหล เกษตรกรมักนิยมเป็นอาหารของวัว ควาย แทนอาหารขุน









หญ้าพง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Arundo reynaudiana Kunth.N.
อุดมไปด้วย โปรตีน เยื่อใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เยื่อใยADF, NDF และลิกนิน
การนำไปให้ประโยชน์เกษตรจะนำไปเป็นอาหารสัตว์โดยใช้เฉพาะระยะต้นอ่อน สัตว์ถึงจะกินได้






ธูปฤาษีหรือกกช้าง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Typha angustifolia
อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต สูง ระยะเมื่อเป็นดอกมีสีน้ำตาล รูปทรงกระบอก กลม แข็ง เมื่อดอกเริ่มแก่ขนจะยาว สีขาวและฟู แต่จะแตกปลิวไปตามลม เมล็ดมีขนอ่อนนุ่ม






ผักขม Amaranth
ชื่อวิทยาศาสตร์ Amaranthusงและกรดอะมิโนครบทุกชนิด วิตามินเอ บี6 วิตามินซี ไรโบฟลาวิน โฟเลต แร่ธาตุได้แก่ แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ทองแดง แมงกานีส



วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ต้นกระท้อน

กระท้อน
กระท้อน


ลำต้น



ดอกกระท้อน




การกำเนิดและการแพร่กระจาย
กระท้อนเป็นพืชพันธุ์พื้นเมืองของกลุ่มประเทศอินโดจีน(กัมพูชา ลาว เวียดนาม สิงค์โปร์ พม่า มาเลเซีย) และคาบสมุทรมาเลเซีย ซึ่งเผยแพร่มาจาก ศรีลังกา มอริเซียส และฟิลิปปินส์ กระท้อนถูกเรียกเป็นหลายชื่อเช่น Lolly fruit , yamapi กระท้อนจึงเป็นที่นิยมและแพร่หลายในภูมิภาคดังกล่าวข้างต้น เป็นผลไม้ที่นิยมทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระท้อนเมื่อสุกจะมีทั้งสายพันธุ์ที่มีสีแดงและสีเหลือง ซึ่งสีของกระท้อนจะปรากฏเมื่อใบกระท้อนเริ่มร่วง  ใบกระท้อนมีสีผสมระหว่างสีเขียวและสีแดงซึ่งไปตัดกับสีของผลกระท้อน ต้นกระท้อนจึงดึงดูดสายตาผู้ชมได้มาก ลูกกระท้อนเมื่อยังเล็กมีสีเขียวเมื่อแก่จะเริ่มออกสีเหลือง จนเหลืองเต็มที่ ขนาด รูปร่าง จะใหญ่ขึ้นผิวค่อนข้างลื่น คล้ายผ้ากำมะหยี่ ผิวมีเปลือกหนา ภายในมีเยื่อขาวๆติดกับเมล็ดให้รสชาติหวานหรือออกเปรี้ยวนิดหน่อย ส่วนเมล็ดรับประทานไม่ได้ เพราะมีขนาดใหญ่ ในกระท้อนบางชนิดที่มีเปลือกหนา แต่เปลือกที่หนาเมื่อเอาผิวออกก็รับประทานได้ เช่นส้มตำกระท้อน จริงๆแล้วผลกระท้อนกินได้ทุกส่วนยกเว้นเมล็ด ในส่วนของวิธีการกิน อาจใช้ช้อนตักกินเนื้อกระท้อน ก็รับประทานได้ง่ายและทันที


สายพันธุ์กระท้อน
-อีล่า
-ปุยฝ้าย



การใช้งาน
เมื่อผลกระท้อนสุกวิธีเก็บเกี่ยว ส่วนใหญ่ปีนขึ้นเก็บได้เลยหรือ ใช้ไม้มีง่ามแข็งสอยเอาก็ได้ ปีนบันไดเก็บก็ได้หากต้นไม่สูงมากนัก
-ผ่าเป็นซี่ๆรับประทานกับพริกเกลือ(น้ำตาล พริก และเกลือผสมกัน) รสเผ็ดหรือหวานตามใจชอบ
เมื่อผลสุกงอมน้ำไปทำเป็นแยมได้
-นำกระท้อนไปแกงกระท้อน แกงกับกะทิและจำพวกเนื้อสัตว์ต่างๆกับพริกแกงไทย) จะเหมือนกับ Bicol อาหารฟิลิปปินส์
-ส่วนเมล็ดรับประทานไม่ได้เพราะมีขนาดใหญ่ เพราะจะทำให้ถ่ายลำบาก
-อาหารไทยนำกระท้อนไปตำส้มแทนมะละกอ โดยใช้พันธุ์ที่มีเนื้อกระท้อนเยอะ โดยเน้นลูกที่ยังไม่สุกเต็มที่ (กระท้อนปุยฝ้ายเนื้อเยอะ ลูกใหญ่)
-น้ำดื่มกระท้อน acid drop
-กระท้อนดอง
-กระท้อนแยม
-ไอติมรสกระท้อน
-แกง ฮังเล เป็นอาหารสไตส์ชาวพม่า โดยแกงกับเนื้อสัตว์ เป็นอาหารพื้นบ้านล้านนา
-แกงหมูกระท้อน
-แกงคั่วกระท้อนกุ้ง
-ใช้แกนไม้กระท้อนเป็นแบบในงานก่อสร้าง ใบและเปลือกไม้มีสรรพคุณเป็นยาพอก ลดการอักเสบ
-สารสกัดจากเมล็ดกระท้อนเป็นสารฆ่าแมลง

การเพาะปลูก
กระท้อนเป็นพืชในเขตร้อน เจริญเติบโตได้ดีบริเวณที่มีสารอินทรีย์ซึ่งรากจะลงดินลึก กระท้อนเจริญได้ดีบริเวณฝนตกกระจายตลอดปี เป็นพืชทนแล้ง เก็บผลผลิตได้หลังจากปลูก 5-7 ปี หากตอนกิ่ง 3-4 ปีก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้

การดูแลกระท้อนก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตตัดแต่งกิ่ง ให้โปร่ง ได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง ตรวจดูแลกิ่งและใบให้มีความสมบูรณ์เพื่อลูกกระท้อนที่แก่จะไม่บิดเบี้ยว ลูกใหญ่ เนื้อฟู เสริมด้วยปุ๋ยสูตร 13-13-21 และปุ๋ยหวาน 0-0-60 ใส่ขณะลูกกระท้อนยังมีขนาดเล็ก(ขนาดเท่าผลมะนาว)

การห่อกระท้อนป้องกันแมลง 
ห่อด้วยถุงห่อผลไม้โดยเฉพาะ เพื่อกันแมลงเจาะ ผลไม้หลุดร่วง


การเก็บเกี่ยว
เมื่อผลกระท้อนเริ่มเหลือง หรือสีเหลืองอมส้ม เนื้อที่ได้จะฉ่ำทานอร่อย แต่เนื่องจากผลกระท้อนต้องห่อผลกันแมลง หนอนเจาะ จึงค่อนข้างสังเกตยากในการเก็บเกี่ยว


โรคและศัตรู
-แมลงวันทอง



อ้างอิง
wikipedia


วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ต้นชะอม

ชะอม Acacia pennata









การปลูก
ชะอมสืบพันธุ์โดยการปักชำ เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน
การปักชำ เป็นการตัดส่วนลำต้นหรือกิ่งของชะอมไปปลูก รากชะอมจะงอกและแตกยอด อันเป็นลักษณะการสืบพันธุ์ของพืชมีดอก รากของต้นชะอมเกิดจากบริเวณท่อน้ำ ท่ออาหาร รากออกทางโคนกิ่ง ยอดอ่อนเกิดทางปลายกิ่ง
การเพาะเมล็ด ในชะอมนั้นทำได้จำนวนมาก เป็นการขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ ต้นอนุบาลชะอมที่ได้จะคงพันะธุกรรมเดิมไว้ทุกประการ โดยวิธีการเพาะ เพาะได้ทั้งในภาชนะและแปลงปลูก การเพาะในภาชนะได้รับความเสียหายน้อย เช่น การเคลื่อนย้ายสะดวก สภาพดิน ปริมาณน้ำ และโรคพืชได้ง่าย
การตอนกิ่ง เป็นการขยายพันธุ์พืชในระหว่างต้นที่ต้องการขยายพันธุ์ติดอยู่กับต้นเดิม เมื่อชะอมเกิดรากจึงตัดออกไปปลูก เมื่อต้นชะอมใหญ่จะได้ทรงพุ่มเตี้ย เก็บยอดได้ง่าย บำรุงรักษาง่าย แต่ข้อเสียคือต้นล้มง่าย
การโน้มกิ่งลงดิน simple layering สำหรับชะอมกิ่งยาวและทรงโค้งจะทำได้ง่าย


ล้กษณะการมีหนามของชะอม
เป็นลักษณะของพืชในภูมิภาคอากาศเขตร้อน หนามแท้จริงคือใบของพืช หนามของชะอมมีสารประกอบ pinnate มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายน้ำแข็งหรือโลหะผลึก หนามของชะอมมีลักษณะเหมือนขนแหลมๆ

หนามในภาษาอังกฤษใช้คำว่า thorn นิยามของมันคือ พืชสร้างหนามเพื่อรอดพ้นจาการถูกกิน เนื่องจากพืชไม่สามารถรอดพ้นจากอันตรายได้ รากของพืชก็หลีกหนีศัตรูแทรกลงสู่ดิน ในส่วนของลำต้น ใบ และผลไม่สามารถหลีกหนีได้ พืชจึงได้สร้างหนามไว้ป้องกันตัว สัตว์ที่กินพืชมีหนามได้รับความเจ็บปวดเมื่อกัดกินหรือแทะเล็ม ครั้งหน้าเมื่อสัตว์มากินอีกจะตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่กิน ไม่เพียงแต่หนามเท่านั้นที่พืชสร้างไว้ป้องกันตัวพืชยังสร้างสารมีพิษ โดยพิษจะเข้าไปทำลายระบบทางเดินอาหารของสัตว์

การที่พืชสร้างหนามไม่เพียงป้องกันสัตว์อย่างเดียว หนามของพืชยังช่วยให้พืชจำพวกเถา เลื้อยและไต่หนามเพื่อหาแสงแดดมาสร้างอาหาร โยกระบวนการสังเคราะห์แสง

พืชมีลักษณะรูปแบบของหนาม หลายรูปแบบเช่น barb, thorns, prickles, sharp ลักษณะที่มีหนามหลากหลายรูปแบบมีไว้เพื่อการแพร่กระจายเมล็ดพันธุ์ให้ง่ายและปริมาณเยอะที่สุด เมล็ดพันธุ์พืชจะมีหนามไว้ป้องกันอันตรายก่อนที่เมล็ดจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว แต่ก็มีพืชอีกหลายชนิดไม่อาศัยหนามในการแพร่กระจายเมล็ดแต่มันสามารถกระจายด้วยตัวของมันเอง

หนามกับเนื้อไม้มีสารประกอบอย่างเดียวกันกับเนื้อไม้ หนามยังช่วยลดการคายน้ำของพืช และเก็บพลังงานจากกระบวนการสังเคราะห์แสง โดยให้สารเช่น แคลเซียมคาร์บอเนต และ เพกติน



หนามชะอม

สายพันธุ์
- ชะอมพันธุ์เบา ลำต้นขนาดเล็ก ใบเล็ก ยอดขนาดเล็ก
- ชะอมพันธุ์หนัก ลำต้นขนาดใหญ่ ใบใหญ่ ยอดขนาดใหญ่ ชาวสวนนิยมปลูกพันธุ์หนัก เนื่องจากให้ผลผลิตตลอดทั้งปี
-ชะอมไร้หนาม มีหนามน้อยมาก

การขยายพันธุ์
- กิ่งตอน
- กิ่งชำ



ยอดอ่อน

การเก็บเกี่ยว
-ยอดที่ได้จากเมล็ดจะอวบอ่อน ออกยอดเยอะ
-ยอดที่ได้จากกิ่งตอน ยอดไม่อวบ กิ่งแข็ง ออกยอดได้น้อย

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ข่า

ข่า

หัวข่าผ่าซีก


ข่าในภาษาอังกฤษ เรียกว่า siamese ginger or Galangale
ภาษาไทยเรียกว่า ดอกข่า (Dok-kha), ข่า(Khaa), ข่าลิง(Khaa-ling
ภาษาเวียดนามเรียกว่า Rieng, Rieng nep, Son nai

พันธุ์ข่า
-ข่าเหลือง เนื้อข่าออกสีเหลืองนวลๆ(สีอ่อนกว่าขมิ้นเข้มกว่ากระชาย)  มีคุณสมบัติ มีสีเหลืองในน้ำแกง มีกลิ่นหอมกว่าข่าขาว หัวแข็งและเนื้อแน่น นิยมปลูกกันในภาคใต้และภาคอีสาน เป็นเครื่องเทศที่คนไทยใช้บริโภคกันถั่วทุกภาค ข่าเป็นพืชที่ปลูกง่ายต้นทุนต่ำให้ผลผลิตดี 1 กอได้7-8 ต้นข่า ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี  นำไปทำสมุนไพร ทำเครื่องสำอางค์ โรคประจำของข่าเหลืองคืดโรคหัวเน่า ใช้เวลาในการปลูก 8-10 เดือนในการปลูกจึงได้หัว
-ข่าหยวกหรือข่าขาว หรือข่าน้ำหรือข่าหมู ลำต้นอวบใหญ่ หัวข่าอวบน้ำ เนื้อหัวข่าออกสีขาว มีกลิ่นและรสชาติที่ไม่รุนแรง
-ข่าตาแดง สีลักษณะสีแดงเกือบทั้งแง่ง


การปลูกข่า
การปลูกข่าจะปลูกในร่ม หรือกลางแดด ปลูกในดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินเหนียว หรือปลูกในสวนเช่นสวนยางพารา สวนผักต่างๆ การใส่ปุ๋ยจะใช้แกลบผสมกับขี้วัวขี้ควายใช้รองพื้นในการปลูกและกลบหน้าดิน ส่วนการให้น้ำควรให้น้ำทุกวัน วันละ1ครั้ง

การปลูกข่าไม่นิยมปลูกเพียงแปลงเดียว จะแบ่งเวียนแปลงปลูกเพื่อที่จะป้องกันโรค เจาะทำลายหัว

การปลูกข่าครั้งแรกต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 8 เดือนจึงจะขุดได้ ครั้งต่อ ๆ ไป 5 - 6 เดือนหรือนานกว่านั้นแล้วแต่การบำรุง

การขุดข่าต้องเว้นข่าอ่อนไว้กอละประมาณ 5 - 6 ต้น เพราะถ้าเว้นข่าแก่ไว้ข่าจะไม่แตกกอหรือแตกกอช้า และต้องกลบหลุมที่ขุดให้ห้เรียบทุกครั้ง ถ้าไม่กลบหลุมครั้งต่อไปข่าจะขุดยากเพราะข่าจะมุดลงไปใต้ดินลึกกว่าเดิม หรืออาจจะแตกกอแถบเดียว

 การขุดข่าต้องใช้แรงงานจำนวนมาก คือ ขุด , เคาะดิน , ตัดราก , ล้าง





ใบข่า

ข่าเป็นพืชที่เติบโตจากหัวเหง้า ต้นเป็นก้านแข็ง สูงถึง 2 เมตร ใบยาวมาก มีหน่วยผลสีแดง มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และอินโดนีเซีย ประเทศที่นิยมปลูก มีลาว มาเลเซีย และไทย ในประเทศเหล่านี้ล้วนนำข่าไปประกอบอาหารแทบทุกมื้อ โดยนำหัวเหง้าที่มีขนาดแข็ง ไปปรุงอาหาร ได้รสชาติหวาน มีกลิ่นคล้ายพริกไทยดำและสนเข็ม
ส่วนผลของข่านำไปทำเป็นยา โดยการรักษาทางการแพทย์จีน ผลของข่ามีรสชากกระวาน

ชาวทมิฬเรียกข่าว่า  chittarattai ซึ่งจะนำข่ามารักษาอาการหวัดและเจ็บคอ

การเก็บเกี่ยว
ห้ามใช้อุปกรณ์ที่เป็นเหล็กขุดข่าเด็ดขาด จะทำให้สีไม่สวย ถ้าดินนิ่มควรเอามีดสแตนเลสจิ้มดินขึ้นมา ควรเอาน้ำรดดินให้นิ่มก่อน ล้างหัวข่าที่ติดดินออกให้หมดหากมีหัวปั๊มน้ำฉีดจะสะอาดยิ่งขึ้น นำไปผึ่งแห้งสักครู่ เมื่อได้ข่ามาจึงนำไปแช่น้ำตะลิงปิง หรือมะนาวก็ได้ เพื่อทำให้ขาว น่าซื้อ น่าทาน แลดูของสด สะอาด


ลำต้นข่า


ระยะเวลาการขุดข่า
เมื่อปลูกข่าหยวกลงดินไปแล้ว
เราสามารถขุดขายได้ตั้งแต่อายุ 8 เดือน
และจะทยอยขุดขายไปได้เรื่อยๆ จนต้นข่า
มีอายุได้ประมาณ 2 ปีเศษ
แม้ว่าการ ขุดข่าในช่วงอายุ 8 เดือนนี้
จะเป็นข่าอ่อนทั้งหมดซึ่งตลาดรับซื้อส่วนใหญ่
ต้องการข่าอ่อนก็จริง แต่กอข่าที่มีอายุระหว่าง
8 เดือน — 1ปี นั้น ยังมีขนาดกอเล็ก เมื่อขุดข่า
ขึ้นมาจะได้น้ำหนักเฉลี่ย 3—5 กิโลกรัม ต่อกอ
เท่านั้น ช่วงที่เหมาะต่อการขุดข่าแล้วได้กำไร
สูงสุด คือข่าที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ถึง 1ปีครึ่ง
ซึ่งใน 1กอ จะขุดข่าได้น้ำหนักเฉลี่ย 8—10
กิโลกรัม และมีสัดส่วนของข่าอ่อนประมาณ
70% และ ข่าแก่อีก 30 %ซึ่งจะได้เงินมากกว่า
ขุดช่วงอื่นๆ (แต่ถ้าขุดข่าที่มีอายุกอตั้งแต่ 1ปี
ครึ่งขึ้นไปจะได้ข่าแก่เป็นส่วนมาก ซึ่งขายได้
ราคาไม่ดีเท่าข่าอ่อน)
เมื่อตัดแต่งราก— เหง้าและล้างข่าสะอาด
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องนำเหง้าข่าจุ่มลงใน
น้ำสะอาดที่ใช้สารส้มกวน จะรักษาสภาพความสด
ของเหง้าข่าได้นาน และเพิ่มสีชมพูสวยงาม
เป็นที่ต้องการของตลาด
(อ้างอิง กลุ่มสื่อส่งเสริมเกษตร ส่วนส่งเสริมและเผยแพร่ สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี)

โรคและศัตรูพืช
โรครากเน่า แก้ไขโดยไตรโครเดอร์มา และ บีที

โรคหนอนเจาะลำต้น




How pumpkins ! ฟักทอง

ฟักทอง

การเลือกซื้อฟักทอง
ฟักทองแต่ละผลจะแก่ไม่พร้อมกัน จึงทยอยเก็บผลไปเรื่อยๆ วิธีการเก็บสังเกตที่สีผิวของฟักทองสีนวลผ่องสม่ำเสมอกันทั้งผล หรือบางสายพันธุ์เมื่อฟักทองแก่แล้วสีผิวเปลือกยังเป็นสีเขียวอยู่ ให้ดูที่ความแข็งของเปลือก ขั้วที่ผลแห้งแข็ง จับผลเขย่าหรือเคาะฟังดูเนื้อข้างในจะกลวงแล้ว ฟังดูจะไม่แน่นแล้ว



ผิว

สายพันธุ์ฟักทอง
-ฟักทอง ทองอำไพ 425 เป็นลูกผสมจากสายพันธุ์ฟักทองคางคก มีผลใหญ่ รูปทรงแป้นเป็นพู มีผิวขรุขระเป็นฟักทองคางคก ขั้วผลสีเขียวเข้ม(เข้มกว่าทองอำพัน342)ไม่เหี่ยวเทาแม้ผลแก่แล้ว เนื้อสีเหลือง หวาน มัน เหนียว 
-ฟักทอง ทองอำไพ 342 เป็นลูกผสมจากสายพันธุ์ฟักทองคางคก ผลขนาดใหญ่ รูปทรงแป้นเป็นพู สีผิวขรุขระเหมือนฟักทองคางคก สีเขียวเข้มบนเปลือกผลได้นาน ขั้วผลสีเขียวเข้ม  ไม่เหี่ยวง่าย เนื้อสีเหลือง รสชาติหวาน มัน เหนียว ผลดก
-ฟักทองบึงกาฬ 021
-ฟักทองทองอำพัน 346
-พันธุ์ศรีเมือง
-พันธุ์ฟักทองยอด เป็นพันธุ์ซึ่งเน้นเก็บยอดฟักทองขาย



คุณค่าและประโยชน์จากฟักทอง
ฟักทอง คนส่วนใหญ่นำพักทองใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหาร ฟักทองสามารถนำไปทำอาหารได้ ทั้งเปลือก เนื้อฟักทอง เมล็ดฟักทอง ใบ ยอดอ่อนฟักทอง หรือ ดอกฟักทอง 

สหรัฐอเมริกาและแคนาดาฟักทองเป็นที่นิยมในเทศกาลวันฮาโลวีนและวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งมีการทำอาหารเฉลิมฉลอง หนึ่งในเมนูที่ขาดไม่ได้คือ น้ำฟักทอง และใช้ฟักทองในโอกาสอื่นอีกมาก

วิธีการทำให้ฟักทองสุก พร้อมรับประทานเช่น อบ นึ่ง ย่าง ต้ม เนื่องจากฟักทองเก็บได้นานในช่วงฤดูใบไม้ผลิผู้คนจะเก็บฟักทองไว้รับประทานจำนวนมากตามประเพณีแบบดั้งเดิม เมนูอาหารก็เช่น ซุป ฟักทองบด น้ำฟักทอง พาย 

ในแคนาดา เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน นำเมล็กทองไปคั่วเพื่อทานยามว่าง

พันธุ์ฟักทองที่มีลูกขนาดเล็ก มีสีเขียว  ขนาดคล้ายกับลูกสคอช สีคล้ายกับลูกบวบ (รูปตัวอย่างข้างต้น)

ในตะวันออกกลางนืยมนำฟักทองทำ halawa yaqtin หรือ ฟักทอง halwa เป็นอาหารรับประทานยามว่าง จัดอยู่ในประเภทของหวาน เป็นอาหารตะวันออกกลางแบบดั้งเดิม มักทานกับขนมปังหรือขนมปังปิ้งก็ได้

ในเอเชียใต้ อาทิ อินเดีย นำฟักทองไปทำ kadu ka halwa ในภาษาอินเดียเรียกฟักทองว่า "Kaddu" เป็นอาหารที่ทำง่าย ประหยัดเวลา และให้คุณค่าอาหารสูง  ถ้าจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ kaddu ka halwa จะเขียนว่า pumpkin halwa    หากว่าเป็นเมืองUdupi ในรัฐ Karnataka อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียจะนำฟักทองไปเป็นอาหารให้กวาง

ในจังหวัด Guangxi ประเทศจีน นำใบฟักทองหรือส่วนยอดฟักทอง นำไปต้มเพื่อรับประทานเป็นผักต้ม หรือนำไปใส่ในน้ำซุป

ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นำฟักทองไปประกอบอาหารร่วมกับผักชนิดอื่นๆ ตัวอย่างเมนูเช่น pumpkin salad, pumpkin curry, pumpkin soup, pumpkin burger



ดอกฟักทอง



pumpkin flower

การเร่งฟักทองให้ออกดอก
หากฟักทองที่ออกดอกเป็นตัวผู้เกือบหมดเลย ดอกที่เกิดอยู่ที่ลำต้นหรือเถาว์หลักจะเป็นดอกตัวผู้ ให้เด็ดยอดหรือตัดให้สั้นเพื่อให้แตกยอดใหม่จะทำให้มีดอกตัวเมียเพิ่มขึ้นจากนั้นอาจช่วยผสมเกสรให้กับฟักทองได้    ดอกตัวเมียจะเป็นดอกที่เกิดในเถาว์แขนงที่แตกออกไป ( การเด็ดยอดฟักทองจะทำให้ฟักทองสร้างฮอร์โมนเอธิลีนมากขึ้นกระตุ้นให้เกิดดอกตัวเมีย

บางครั้งดอกตัวเมียบานพร้มผสมพันธุ์ช่วงเช้ามืดไปจนกระทั่ง 9 โมงเช้า ถ้าช่วงนั้นฝนตกลงมา โอกาสติดผลก็จะน้อยลง

หากฟักทองมีดอกตัวเมียมากให้ฮอร์โมนจิบเบอเรอลิน(สารหนุ่ม)  พ่นในระยะต้นกล้ามีใบ 1-3 ใบ จะทำให้เกิดดอกตัวผู้มากขึ้นโดยไม่ต้องเด็ดยอดฟักทอง

พืชตระกูลแตงบางพันธุ์จะให้ดอกตัวผู้มากกว่าตัวเมีย จึงต้องใช้สาร เอทีฟอน พ่นในระยะต้นกล้ามีใบ 1-3 ใบ จะทำให้เกิดดอกตัวเมียมากขึ้น


การขยายพันธุ์
-โดยเมล็ด
-โดยการตอนกิ่งจากกิ่งฟักทอง การเก็บเกี่ยวรวดเร็วขึ้น ฟักทองไม่กลายพันธุ์ ต้นกำเนิดการตอนกิ่งเกิดจากสาเหตุเมล็ดฟักทองพันธุ์ดีมีราคาแพง และเมล็ดที่ได้จากการปลูกฟักทองรุ่นแรกจะเป็นพันธุ์ลูกผสม (ไฮบริด) ซึ่งนำไปปลูกต่อจะกลายพันธุ์ไม่ได้ผลผลิตเท่าต้นแม่ หากปล่อยให้ต้นแม่ตายก็เท่ากับต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ 



วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

งาดำ ผมดกดำ เงางาม

งาดำ


ผลงาดำ




ดอกงาดำ



อาภัสรา หงสกุล นางงามจักรวาล กล่าวว่า ที่ผมเธอดกเงางามเพราะเธอทานงาดำทุกวัน
ในหะดิษท่านศาสนฑูตได้กล่าวว่า แท้จริงในงาดำนั้นมียาที่สามารถรักษาทุกโรคนอกจากความตาย
คำกล่าวของบุคคลผู้มีชื่อเสียง

ประโยชน์จากการใช้งาดำ
การทำอาหาร น้ำมันงาดำเป็นผลมาจากงาดำ เป็นพืชที่ได้รับความนิยมมากในเอเชีย เอเชียนิยมบริโภคมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกาหลี จีน และรัฐทางตอนใต้ของอินเดีย รัฐกรรณฏัก อานธรประเทศ และทมิฬนาฑู ใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนชาวเมดิเตอร์เรเนียนใช้น้ำมันมะกอก

ในประเทศจีนใช้น้ำมันงาในการเตรียมอาหารสำหรับผู้หญิงในช่วงหลังคลอด

ในภาคใต้ของประเทศอินเดีย น้ำมันงานำไปใช้ในการดองผักและเครื่องปรุงรสอาหาร เช่น Dosa อ่านว่า โด๊ไซ่ นำน้ำมันงาไปผสมกับแป้งสำหรับทำ โด๊ไซ่ (การทำโด๊ไซ่ คล้ายกับการทำ Puruppu Podi โดยการทำPuruppu Podi เป็นการผสมข้าวกับเครื่องเทศ)
รัฐที่นิยมบริโภคกันอย่างมากคือรัฐทมิฬนาฑูและรัฐอานธรจะนำไปผสมกับอาหารที่มีรสเผ็ดหรือร้อน แต่อาหารทอดจะไม่นิยมนำน้ำมันงามาใช้

Dosa ได้รับความนิยมทางตอนใต้ของอินเดีย เช่น รัฐเกรละ รัฐทมิฬนาฑู รับประทานเป็นอาหารเช้า และเป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์

น้ำมันงานำมาใช้ในการบำรุงผิวและการนวดตัวตามแบบฉบับอินเดีย น้ำมันงาชาวอินเดียเรียกว่า Til Tel เป็นน้ำมันงาที่ปรุงขึ้นพิเศษสำหรับการนวดโดยเชื่อว่าสามารถกำจัดสารพิษออกจากร่างกายโดยกรรมวิธีการนวดบำบัดของอินเดีย นอกจากนี้ยังใช้ในการบำรุงเส้นผมและนวดศรีษะ

น้ำมันงายังเป็นสารตั้งต้นในการแพทย์อายุรเวท เป็นการแพทย์ที่อยู่ทางเหนือของประเทศอินเดีย ในชนชาวฮินดู
การแพทย์อายุรเวท Ayurveda ประกอบด้วย
Ayur = longevity
Veda = knowledge
Ayurvedo คือ การทำให้ชีวิตยืนยาว โดยเน้นการป้องกันสุขภาพ
( Plato ได้กล่าวว่า ไม่มีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดใดที่จะให้ผลดีเลิศเท่ากับการรักษากายและใจควบคู่กันไป โดยเฉพาะจิตใจ ความคิดคำนึง เป็นเสมือนพลังและยารักษาโรค ที่สำคัญในการต่อสู้โรคร้ายต่างๆ ได้อย่างดี ไม่ควรมุ่งเน้นการรักษาที่กายอย่างเดียว


น้ำมันงายังเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์ รวมทั้งนำไปทำน้ำมันกระสายยาหรือน้ำมันตัวพา (carrier oils) น้ำมันตัวพาเป็นน้ำมันที่นำไปเจือจางน้ำมันหอมระเหยที่สะกัดได้จากพืชเพื่อให้เกิดการปลอดภัยในการใช้ เช่น ในการนวดจะทำให้สารเคมีดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดี

ในวัฒนธรรมชาวฮินดู น้ำมันงาหรือ "Til" ใช้ในการจุดโคมไฟหรือตะเกียงน้ำมันสำหรับวางไว้หน้าศาลเจ้าของชาวฮินดู นอกจากนี้รัฐทางตอนใต้ของอินเดียนำน้ำมันงาไปใช้ในพิธีบูชาศาลเทพเจ้าซึ่งเป็นเห็นแกรนิตสีดำ

ใช้งาดำในอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมน้ำมันงาเช่น
เป็นตัวทำละลายในการฉีดยาเพื่อให้การเจาะผิวหนังผ่านเข้าสู่ร่างกายคนได้ซึ่งโดยปกติฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ

น้ำมันงาใช้ในการผลิตเครื่องสำอางค์

อุตสาหกรรมการเคลือบเมล็ดงาป้องกันมอด และน้ำมันงาเป็นสารที่ต้องควบคู่การสารฆ่าแมลง

ผลิตสบู่ สี สารหล่อลื่น และอุปกรณ์ให้ความสว่าง(illuminaats)



ตัวอย่างเมนูงาดำ sesame cuisine
1.ใส่ในน้ำนม น้ำเต้าหู้
2.โรยกับข้าวสวยร้อน
3.งาดำคั่วและบด การบดจะทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน
4.โรยใส่อาหารที่เราชอบรับประทาน จะได้ทานง่าย
5.คั่วกับเกลือเล็กน้อย ไฟต่ำ และโขลกแตกหยาบหรือละเอียด ให้รสชาติมันและหอม
6.เอาไปปั้นบัวลอย ทานกับน้ำขิงร้อน (บัวลอยน้ำขิง)
7.งาดำคั่วป่นสำเร็จ (มีผู้ทานบางท่านบอกว่าให้รสขม)
8.ทานกับน้ำขิง บัวลอยไส้งาดำ ทานเป็นประจำจะอ้วนไหมเนี่ย
9.โรยบนแครกเกอร์ หรือ ทาแยมนิดหน่อย หรือทานกับเครื่องดื่มร้อนๆตอนเช้า วิธีจะทำให้ไม่กินและรสขม ผู้ทานบางท่านกล่าวว่า การทานงาดำแบบแห้งๆ จะมีกลิ่นหอมและทานได้ในปริมาณมากเท่าที่ต้องการ
10 คั่วเองด้วยไฟอ่อนๆให้ทั่วๆ เตรียมเกลือผสมกับน้ำไว้ พรมลงไปในระหว่างคั่ว  เมื่องาดำเริ่มสุกจะมีกลิ่นหอม เมล็ดพองโตขึ้น ได้รสชาติมัน หอม อร่อย
11. หุงใส่ข้าว กินได้ทั้งครอบครัว สะดวก ให้รสชาติอร่อย
12.ทำน้ำงาดำคือทำแบบน้ำเต้าหู้
13.นมถั่วเหลืองผสมงาดำ
14.ซุปงาดำ
15.ขนม Goma Tamago


วิธีทำน้ำงาดำ
1. งาดำดิบครึ่งกิโล ยี่ห้อใดก็ได้ แต่เราใช้ไร่ทิพย์กับเอราวัณ ล้างให้สะอาดโดยใช้กระชอน เพื่อเศษฝุ่นออก เศษทรายออก ล้างสัก 3 น้ำ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.เอางาดำมาคั่วให้มีกลิ่นหอม
3.มื่อได้งาคั่วแล้วจัดการปั่นกับน้ำ ปั่นให้ละเอียด โดยการปั่นใช้งาดำ 3 ทัพพี+น้ำเปล่าครึ่งหนึงของเครื่องปั่น
4.นำน้ำงาดำที่ได้มากรองแยกน้ำแยกกาก ด้วยผ้าขาวบาง
5.เอากากงาดำที่ปั่นรอบแรก มาปั่นรอบสอง โดยปั่นเหมือนวิธีรอบแรก
6.ตั้งไฟปานกลาง คนก้นหม้อบ่อยๆ กันก้นหม้อเหม็นไหม้ติดกระทะ
7.เมื่อถึงเวลาเดือดแล้ว งาดำจะจับตัวเป็นก้อนๆลอยขึ้นผิวลักษณะคล้ายๆเต้าฮวยเละๆ ( ไม่ต้องตกใจคนไปเรื่อยๆ ให้เดือดไปเรื่อยๆ) นำทัพพีตักดูว่าน้ำงาดำด้านล่างสีใสๆแยกกับตะกอน เป็นอันเสร็จ ปิดไฟ
8.ตักก้อนงาดำที่ลอยขึ้นมาใส่กระชอน แล้วบี้ให้เนื้อแตกตัวผ่านกระชอน แล้วเทกับไปกวนกับน้ำงาดำอีกที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
9.ทานไม่หมด แบ่งเก็บใส่ถุงเข้าห้องฟรีซ เมื่ออยากทานภายหลังนำเข้าเวฟให้พออุ่น



งาดำชื่อสามัญคือ  Sesame
ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Sesamum orientale L.
สรรพคุณ ช่วยระบบขับถ่ายเป็นปกติเหมาะสำหรับคนธาตุหนัก ผมดำเงางาม เส้นผมใหญ่ งาดำมีแคลเซียมสูงช่วยเพิ่มมวลกระดูก
ช่วยบำรุงรากผมแข็งแรง บำรุงผิว
ลดคอเลสเตอรอล
กินแล้วคิ้วเข้ม
ผู้ป่วยเป็นโรครูมาตอย ข้ออักเสบ ทานแล้วไม่ปวดหัวเข่า


ผลิตภัณฑ์งาดำ
โคลนหมักผมงาดำ
งาดำคั่วสำเร็วรูป
ขนมญี่ปุ่นทาโร่งาดำ



ลักษณะใบงาดำ



ลำต้นงาดำ





วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ใบย่านาง

ใบย่านาง




รอลงรูปภาพ









ประเทศเวียดนามนำใบย่านางมาทำขนมแสนอร่อย ชื่อว่า Vine jelly หรือเรียกในภาษาเวียดนามว่า "Suong sam" เป็นอาหารคลายร้อนให้ความสดชื่นยามอากาศร้อน รับประทานกับน้ำแข็งและน้ำเชื่อม ตัวเยลลี่มีความหวาน อ่อนนุ่ม หั่นเป็นชิ้น ตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู

ในภาษาอังกฤษเรียกใบย่านางว่า Bai ya nang หรือ Ya nang young leaves
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra
ลักษณะ เถากลม มีสีเขียว ใบสีเขียวสด เป็นใบเดี่ยว ดอกขนาดเล็กสีเหลืองแยกเพศกัน ดังนั้นใบย่านางเป็นflowering plantหรือแปลว่าพืชดอก มีความหมายว่า เป็นพืชที่มีดอกไม้และเมล็ดเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเมล็ดจะกลายเป็นผลไม้

การปลูก
ปลูกได้ในดินทุกชนิด ปลูกได้ทุกฤดูกาล


ใบย่านาง หรือ เพียงย่านาง ยานาง เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนมากนำใบย่านางประกอบอาหารและสรรพคุณทางยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยหรืออีสานนิยมนำมาแกงหน่อไม้ ประเทศลาวก็เรียกใบย่านางในภาษาลาวว่าใบย่านางเช่นกัน

อาหารของคนภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย นำใบย่านางมาประกอบอาหารแกงหน่อไม้ kaeng no mai บางครั้งเรียกว่าแกงลาว kaeng lao เพราะผู้ที่อาศัยอยู่อีสานของไทยมีประชาชนประเทศลาวจำนวนมาก  เช่น ซุปหน่อไม้ ( a chili-hot tasting soup ) ซุปหน่อไม้ทำจากหน่อไม้ พริกเกลือ  เห็ดนางรม เห็ดฟาง ชะอม หรือส่วนประกอบผักชนิดอื่นก็ได้ การใส่ใบย่านางจะคั้นเอาแต่น้ำสดโดยการขยี้กับมือ หากใส่ทั้งใบจะค่อยข้างเหม็นเขียว (อาจเป็นน้ำคั้นใบย่านางสดหรือแบบกระป๋องก็ได้)

ประเทศกัมพูชา ใบย่านางเป็นส่วนผสมในการทำซุปเปรี้ยว เรียกว่า "samlar machu"

ประโยชน์และสารอาหาร
ย่านางเป็นสมุนไพรเย็น อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติช่วยแก้พิษในหน่อไม้ ช่วงกระแสดังเคยเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ยอดนิยม

ผลิตภัณฑ์ใบย่านาง
สบู่ใบย่านาง ใบย่านางแคปซูล
ใบย่านางพร้อมดื่มผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำตาล น้ำใบเตยหรือน้ำมันมะพร้าว
ชาใบย่านาง
ครีมใบย่านาง
เอนไซม์ใบย่านาง








วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผักบุ้ง

ผักบุ้ง

ผักบุ้ง water convolvulus, water spinach(Kangkong),
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ipomoea aquatica Forssk.
ผักบุ้งมีชื่อภาษาอังกฤษหลายคำเช่น water spinach, River spinach, water morning glory, water convolvulus.
Southeast Asia เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า Chinese spinach, Swamp cabbage, and Kangkong
Bangladesh บังคลาเทศ เรียกว่า Kalmi Shak
Thai ไทย เรียกว่า Phak bung
Vietnamese เวียดนาม เรียกว่า rau muong
Khmer กัมพูชาหรือเขมร เรียกว่า trokuon
Malay and Indonesian มาเลเซียและอินโดนีเซีย เรียกว่า kangkung
Phillippines ฟิลิปปินส์ นิยมเรียก kangkung และ Chinese kangkong ในระหว่างสงครามอเมริกัน-สเปน

สายพันธุ์
สายพันธุ์ใบไผ่

ผักบุ้ง เป็นพืชกิบใบ ลำต้นอ่อน เกิดขึ้นในเขตร้อน หรือกึ่งเขตร้อน (tropical or subtropical) เช่น แอฟริกา เอเชียเขตร้อน ปลูกมากแทบเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ปลูกได้ตลอดปี ในประเทศไทยปลูกได้ตลอดปีเช่นกัน  เจริญเติบโตในที่มีน้ำ หรือดิน หรือมีน้ำเพียงเล็กน้อย  30 วันหรือ 1 เดือนสามารถเก็บเกี่ยวได้ ถ้า 40-50 วัน สามารถเก็บเมล็ดขายได้ ประเทศที่นิยมปลูกมาก คือ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม นิยมปลูกในเขตชนบท

ลักษณะ รากกลวงและลอยน้ำได้ ลักษณะใบคล้ายหัวลูกศร กว้าง 0.8-3 เซนติเมตร ยาว 2-8 เซนติเมตร ขนาดดอกผักบุ้ง 3-5 เซนติเมตร กลีบดอกเป็นสีขาว ตรงกลางเป็นสีม่วง สามารถสร้างเมล็ดเพื่อสืบพันธุ์ได้

การปลูกผักบุ้ง  การเตรียมแปลงปลูก พรวนดินให้ร่วน ใส่ปุ๋ยคอก  ยกร่องแปลงขึ้นสูง ตากดินเพื่อฆ่าวัชพืชและแมลง  หว่านเมล็ดลงร่องโดยจะเป็นการหว่านทั่วๆหรือ  หว่านเป็นแถว แล้วรดน้ำ ผักบุ้งเจริญเติบโตได้ดีในน้ำหรือแม้พื้นที่มีปริมาณน้ำน้อย


ชาวไต้หวันนิยมทานผักบุ้งเป็นอย่างมาก และเจริญเติบโตได้ด้วย ในช่วงสงครามสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่น-สิงค์โปร์ ผักบุ้งกลายเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้น เพราะเป็นพืชปลูกง่าย ปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ แม้แต่ในพื้นที่ไม่ร้อน ยังสามารถเจริญเติบโตได้ดี เพียงแต่ต้องอาศัยแดดในการเจริญเติบโต


การปลูก
เริ่มต้นด้วยการปรับปรุงสภาพดิน ปุ๋ยขี้หมู ขี้ไก่ ขี้วัว แล้วพรวนดิน ให้เกิดควาร่วนซุย ดินฟูไม่อัดแน่น โดนเน้นความละเอียดของดินเป็นสำคัญ หากดินคุณภาพไม่ดีและการให้น้ำที่ไม่เพียงพอเมื่อเก็บเกี่ยวต้นผักบุ้งแข็งแกร็น ขายได้ยาก

การทำแปลงปลูกไม่ควรทำแปลงแบบหลังเต่าเด็ดขาด ควรปาดหน้าดินให้เรียบ เมื่อรดน้ำ น้ำจะไหลออกหมด ทำให้ดินแห้งเร็ว

การคัดเลือกพันธุ์ในการปลูก เลือกจากเปอร์เซ็นการงอกของผักบุ้งสูง 80 % ขึ้นไปยิ่งดี แช่น้ำและน้ำยาเร่งราก 6-8 ชั่วโมง(หรือแช่น้ำอุ่นก็ได้ ทิ้งไว้ 1 คืน) ผึ่งให้แห้งเพื่อให้สะเด็ดน้ำ เวลาหว่านเม็ดจะได้กระจาย เมื่อหว่านเสร็จใช้ขุยมะพร้าวหรือฟาง คลุมเพื่อรักษาความชุ่มชื้น รดน้ำวันละ 2 เวลา เช้าและเย็น

หากปลูกผักบุ้งจำนวนมาก เมื่อเก็บผลผลิตไม่ทัน ควรหว่านโดยใช้ระยะห่างเช่น หว่านที่ละ 1 งาน เว้นระยะไว้ 5 วัน จึงหว่านอีกครั้งหนึง  ผักบุ้งเก็บได้ไม่ขาดตลาดและมีเวลาในการเก็บเกี่ยว

ประมาณ 25 วันเริ่มเก็บผลผลิตได้ ลำต้นที่ได้จะกรอบ ถอนทั้งรากและรากน้ำให้สะอาด เก็บแขนงด้านล่างออกทิ้งเพราะใบเหลืองแลดูไม่สวย หากผักบุ้งโตช้าและก้านไม่ยาว ลำต้นที่ได้จะเหนียว ผักบุ้งจะขายได้ยากไม่เป็นที่ค้องการของตลาด

เมล็ดผักบุ้ง 1 กก. หว่านได้ผักบุ้งสด 150 กก หากปลูกเพื่อการค้าควรแบ่งเก็บขายสินค้า 4-5 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผักบุ้งราคาถูกและผักบุ้งปล้องสดกรอบ ยอดอ่อน ดังนั้นขั้นตอนหว่านควรหว่านครั้งละ 0.5 กก. หว่านห่างกันทุกๆ 5 วัน ก็จะมีผักบุ้งส่งตลาดทุกวัน


การเก็บเกี่ยว
:อายุเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนและฝน 18-22 วัน  ส่วนในฤดูหนาว 25-28 วัน

โรคและปัญหา
ราสนิทขาว ในฤดูฝน บางช่วงฝนตกติดต่อถึง 5 วัน รากผักบุ้งเกิดรา จึงต้องฉัดพ่นในการกำจัดเชื้อราสูง หากไม่ฉีดพ่นผักบุ้งจะไม่เจริญเติบโตและขายสินค้าไม่ได้ หากในฤดูหนาวและร้อนจะไม่เกิดโรคราสนิทขาว หากโรคไม่เป็นมากเด็ดใบผักบุ้งทิ้ง

-หอยทาก กัดกินยอดผักบุ้ง ใบอ่อนยอดผักบุ้ง

-ราจุดใต้ใบ เมื่อเริ่มเป็นใบผักบุ้งจะเป็นใบเหลืองรีบกำจัดเด็ดทิ้ง

การกำจัดผักบุ้ง
ผักบุ้งในสระน้ำหรือในบริเวณธารน้ำธรรมชาติมีการเจริญเติบโตเร็ว จึงต้องกำจัดออกด้วยการปล่อยห่านลงกินหรือปล่อยปลากินพืชเช่นปลานิลกับปลาตะเพียน หรือตัดต้นผักบุ้งเพื่อเป็นอาหารหมูหรือทำปุ๋ยหมัก

การแพร่กระจาย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐฟลอริดา และแท็กซัส ผักบุ้งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมของรัฐ กำจัดแล้วไม่ตาย  ปิดกั้นทางน้ำไหล



ดินปนทราย



อาหารเกี่ยวผักบุ้ง
เวียดนาม อาหารที่ชาวเวียดนามนิยมรับประทานคือ Canh Chua เป็นน้ำซุปปลาเปรี้ยว Vietnamese sour fish soup ใช้ส่วนหัวของปลาแซลมอลหรือปลาทูน่าในการทำ salmon and tuna กับผักนานาชนิด ประกอบด้วย สับปะรด  ถั่วงอก หอมแดง กระเทียม มะเขือเทศกระเจี๊ยบ ตะไคร้ ต้นบอนหรือต้นอ้อดิบ
สับปะรด= pineapple
ถั่วงอก= bean sprouts
หอมแดง= shallots
กระเทียม= garlic
มะเขือเทศกระเจี๊ยบ= okra
ตะไคร้ = lemongrass
bac ha(ภาษาเวียดนาม) = ต้นบอนหรืออ้อดิบหรือต้นคูณ Giant Elephant Ears)



ฟืลิปปินส์ อาหารที่ชาวฟิลิปปินส์นำผักบุ้งไปทาน เช่น Adobong kangkong  เป็นอาหารที่ทำง่าย และเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ มีส่วนประกอบเช่น ใบผักบุ้งและลำต้นโดยเน้นว่าต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู กระเทียม น้ำ น้ำมันพืช เกลือ พริกไทย

กัมพูชา นิยมนำผักบุ้งมาทำซุปเปรี้ยว ( Samlar machu /Samlor/Salor/Salaw) ส่วนประกอบที่ใช้เช่น มะขาม มะเขือเทศ สับปะรด ใบย่านาง มะนาวดอง ผักบุ้ง เนื้อหมู/ไก่/ปลา

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พริก

พริก



พริก chilli pepers , chili, or chilli มาจากภาษาสเปนว่า chile ซึ่งเอาไว้เรียกที่พริกขนาดเล็ก แต่ก็มีพริกที่มีขนาดใหญ่ในอเมริกาจะเรียกว่า pepper ในทวีปยุโรปเรียกว่า paprika 

พริกเป็นอาหารคู่ครัวของทุกๆประเทศ พริกมีสารที่เรียกว่า capsaicin มีฤทธิ์ระคายเคือง เมื่อเรารับประทานเข้าไปจะรู้สึกแสบร้อน  เมื่อถึงกระเพาะอาหาร กะเพาะจะผลิตเมือกออกมาป้องกันการระคายเคืองและกระต้นการหลั่งน้ำย่อย

สาร capsaicin นี้ ต้นพริกผลิตออกมาเพื่อป้องกันสัตว์จำพวกกินพืช  capsaicinพบในบริเวณเนื้อเยื้อของผลพริกมากกว่าในเมล็ด นอกจากนี้ยังมีสัตว์อีกชนิดที่ผลิตcapsaicinเช่นกันคือแมงมุมทาแรนทูลามีพิษ

พริกมีสารอีกประเภทรียกว่า แคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง สารแคโรทีนอยด์ยังพบในผักชนิดจำพวกที่มีสี เหลือง ส้ม แดง เช่น แครอท มะละกอสุก ฟักทอง  แคโรทีนอยด์รักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟัน หากรับประทานมากๆจะทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลือง เรียกว่าภาวะ carotenemia 

พันธุ์พริก
-เม็กซิกัน ฮาบาเนโร เรดซาวีนา  และ เยลโลซาวีนา พริกมีความหอม เผ็ดมาก ทำอาหารรสชาติอร่อย นำเข้าพันธุ์จากแคริบเบียน เปรู อิตาลี
-พริกหนุ่ม พันธุ์แม่ปิง 
-พริกเยลโล่ซาวีน่า มีสีเหลืองอ่อน
-ฮอทชิลี
-พริกฮาบาเนโร กลิ่นเหมือนนมหรือกะทิมาก เป็นพริกรสเผ็ดมาก มีสีแดง เหลือง ส้ม สีแดงเผ็ดที่สุด แหล่งปลูกที่ดีที่สุดคือ เปรู เม็กซิโก คอสตาริกา สุรีนัม อัฟริกา เจริญเติบโตในที่แดดตลอดวัน
-พริก ฮาบาเนโร เยลโล่ ซาวีนา HABANERO YELLOW  SAVENA
-พริกตรินิแดด
-พริกสกอเปี้ยน
-พริกนาคา ดีเสิร์ท
-พริกกระจู๋
-พริกกระจู๋แดง
-พริกบุต โจโรเกีย
-พริกจินดา จุดเด่นของพริกจินดาคือดกมาก
-พริกเม็กซิกัน
-พริกขี้หนููู
-พริกซุปเปอร์ฮอท
-พริกกะเหรี่ยง
-พริกหมวกสก็อต
-พริกฟาทาลี Fatalli พริกเผ็ดร้อน เมื่อสุกจะมีสีส้ม
-พริกนากา เป็นพริกที่นำไปทำพริกดองน้ำส้มสายชู
-พริกงูจงอางอินเดีย ผลอ้วนกลม สามเหลี่ยม พริกเผ็ดร้อน เป็นพืชพื้นเมือง 
-พริกปีศาจ Bhut jorokia การเพาะพริกปีศาจ เหมาะเพาะลงวัสดุที่เรียกว่า พืชมอส
-พริกพิโรธ
-พริกพวง
-พริกจานบิน
-พริกเฟรสโน่
-พริกหัวใจ
-พริก purple tiger hot pepper เป็นสายพันธุ์ที่ทนแดดได้ดี 
-พริกตอเซตนากา
-พริกนากาไวเปอร์
-พริกบุชที
-พริกขี้หนูสวน
-พริกขี้หนูหอม เม็ดยาวประมาณ 25-35 มม ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว เผ็ดไม่มาก นิยมแกล้มข้าวขาหมู น้ำพริกกะปิ ต้มยำ แหนม น้ำพริกปลามะนาว 
-พริกฟักทอง 
-พริก หัวใจ
-พริกม่วงใบด่าง

-พริกขี้หนูจืด หรือพริกจืด นำไปใช้ทำยาแก้ถอนพิษเบื่อเมา มีสรรพคุณเช่นเดียวกับ รางจืด กลอยจืด ข่าจืด 




พริกเขียว
การเพาะกล้าพริก
1.ทำโรงเรือนเพาะชำ
2.เตรียมถาดเพาะ ขี้เถ้าแกลบดำ 
3.ดินที่นำไปอบฆ่าเชื้อในดินหรือหน้าดินที่นำไปตากแดดแล้ว
4. เตรียมเมล็ดพริก และคัดเลือกพันธุ์ที่ใช้ปลูกเลือกเมล็ดที่มียาคุม ป้องกันเมล็ดเสีย เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้เก็บลงเรือนเพาะชำ รดน้ำให้พอดีอย่าให้แชะเกินไป ถ้าแชะจะทำให้เมล็ดเน่าได้ นำพลาสติกสีดำคลุม หลังจากนั้น 5 วันจึงเปิดผ้าคลุมออก สังเกตเมล็ดพริกงอกหรือยัง ถ้ายังไม่งอกให้คุมพลาสติกดำต่อ

ประมาณ 25 วัน หากต้นพริกไม่ยืดใบเหลืองเพราะขาดธาตุไนโตรเจน แก้ไขโดยการให้ปุ๋ยทางใบสูตร 20-10-10 หรือ 12-12-4 ผสมสารเพิ่มประสิทธิภาพทางใบ และฮอร์โมนอ๊อกซิน ทดลองฉีดพ่น หากเกิดใบไหม้ให้เอาน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อหยุดอาการไหม้

5. การเตรียมแปลงปลูก โรยปูนโดโลไมท์และขี้ไก่หมัก ไถ่พรวนกลบดินให้เข้ากัน
6.เริ่มปรักไม้กันล้ม หาได้จากไม้ไผ่ หลังจากนั้นถอนหญ้าออกก่อนที่หญ้าโต หากปล่อยให้โตมากจะถอนยาก ยิ่งฝนตกลงทับอีกหญ้ายิ่งงอกเร็ว หากหญ้าขึ้นมากกำจัดโดยกรัมม็อกโซน ระวังการฉีดพ่นอย่าให้โดนต้นพริก
7. นำฟางหรือพลาสติกคลุมแปลงในการปลูก หากคิดต้นทุนกัยจริงๆแล้วใช้พลาสติกคลุมแปลงมีต้นทุนถูกกว่าใช้ฟาง และยังปูแปลงได้เร็วประหยัดแรงงาน ใช้น้ำประหยัด คลุมวัชพืชได้ดีกว่า การดูแลรักษาง่าย
8 พริกโตได้ 10 วัน เริ่มแต่งกิ่งให้เหลือสองกิ่งข้างบนสุด  สักระยะจัดการหมัดต้นพริก มีเหตุผลที่ว่าต้นพริกมีกิ่งก้านสาขาเยอะมากทำให้ต้นล้มและหักลงได้




การปลูกพริก
การปลูกพริกในฤดูฝน ควรเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง วางแผนการปลูกต้องกำหนดเวลาให้ถูกต้องเหมาะสม เช่นเพาะเมล็ด กรกฏาคม ลงปลูกแปลงสิงหาคม เก็บผลผลิตตุลาคม  ส่วนการเตรียมดินปรับปรุงโครงสร้างดินในระบายน้ำได้ดี ใส่ปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดินให้เพียงพอเพื่อป้องกันโรคเน่า ไส้เดือนรากปม ต้องหายากำจัดโรคแมลงก่อนที่พริกจะแสดงอาการเพราะจะระบาดเร็วมาก โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียง

การย้ายต้นพริกจากแปลงปลูกอื่น ควรขุดหลุมให้ลึก ประมาณ 12 นิ้ว พยายามอย่าให้รากแก้วขาดและเสียหายน้อยที่สุด แล้วปลูกลงหลุมใหม่ทันที ขุดหลุมใหม่ให้กว้างลึกกว่าเดิมเพื่อให้รากเดินต่อไปได้ รดน้ำ บังแดดไว้ประมาณ 10 วัน รอจนใบพริกตั้ง


การขยายพันธุ์
-การเพาะเมล็ด
-การโน้มกิ่ง โน้มกิ่งของพริกลงฝังไว้ใต้ดิน ให้ยอดโผล่ออกมาเล็กน้อย รอให้รากแตกจึงตัดออกไปปลูก



การติดผลพริก
ช่วงที่เริ่มติดผล ให้แคลเซียม โบรอน โดยเฉพาะพริกต้องการมาก หรือให้ด้วยยิปซั่มเพราะยิปซั่มประกอบไปด้วย แคลเซียม 23%   กำมะถัน17% แก้ปัญหาดินเสื่อมสภาพ ดินแน่น ดินดาน ดินเค็ม

พริกเป็นพืชที่ออกผลผลิตเยอะ จึงต้องการสารอาหารทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม ธาตุหลักสิงอยู่ในปุ๋ยเคมี ส่วนธาตุรองและเสริมหาได้ในปุ๋ยคอก
-หากใบพริกสีเขียวเข้มขาดความมันวาวแสดงว่าขาดโพแทสเซียม

โรคเชื้อรา โรคกุ้งแห้ง แอนแทรคโนส  เกิดจากเชื้อรา collectotrichum sp. มีลักษณะจุดช้ำหรือวงกลมหรือวงรี แผลบุ๋มลึก หากเม็ดพริกยังเขียวอยู่กดดูจะนิ่มผิดปรกติ เมื่อนำพริกที่เป็นโรคนำไปตากแห้งสีจะเหลืองซีด มักจะเกิดในช่วงฤดูฝนเพราะเชื้อราเติบโตได้ดี รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบข้างประกอบจำพวกประเภทของดิน โรคนี้ยังสามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ได้
โรคกุ้งแห้งพริกมีสองแบบ 
1.โรคกุ้งแห้งแท้ เกิดตามผลพริก ใบ ลำต้น กิ่งก้าน การป้องกัน
- แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น 50 องศานาน30 นาที ป้องกันการติดเชื้อที่มากับเมล็ด แม้ว่าเมล็ดพันธุ์จะมีราคาแพง
- เมื่อย้ายต้นพริก แล้วปลูกให้ติดดิน ป้องกันโดยสารกำจัดโรคพืช หรือ ใช้มือเด็ดทิ้งออกนอกแปลงให้ไกลหรือเผา
- การใช้เชื้อไตรโคเดอมา หรือบาซิลัส ใช้พร้อมกับยิปซั่มหรือฮิวมิคแอซิดเพื่อปรับสภาพดิน
- สารเคมีคาเบนดาซิม, แมโคเซิบ, เบนโนมิล, ซิสเทน, อามิสตา ,สโตรบี้ 
- คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ติดโรค
- ผสมเมล็ดพันธุ์กับสารแมนโตเซบ
- ปลูกพืชหมุนเวียน
ใส่ปูนขาวและปุ๋ยอินทรีย์
2.โรคกุ้งแห้งเทียม เกิดบริเวณปรายผล มีอาการแห้ง บิดงอ ใบพริกไม่สมบูรณ์ วิธีการแก้โดยการใช้แคลเซียม 




เพลี้ยไฟ ไรขาว อาการยอดหงิก ใบหงิก ต้นแคระแกร็น ใบร่วง พริกติดผลน้อย และรูปร่างบิดเบี้ยว  เกิดจากเพลี้ยไฟดูดน้ำเลี้ยงจากบริเวณเซลล์ใบ ตาดอก  ลักษณะใบพริกหงิกงอ ย่น ขอบใบห่อ ใบขนาดเล็ก มีจุดสีน้ำตาล ใบเหลืองกรอบ  ระบาดในสภาพแห้งแล้ง 
ป้องกัน 1. ให้น้ำ
2. สารฆ่าแมลง อาทิ คาร์บาริล

ไรขาว อาการใบอ่อนที่ยอดเรียวแหลม ก้านใบยาว ขอบใบพับลงด้านล่าง ใบจีงเรียวยาวมากขึ้น โรคมีการระบาดตลอดปี มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ป้องกัน 1. ตรวงดูต้นพริกอย่างสม่ำเสมอ
2. ใช้สารกำมะถันผง

ไรแดง 

โรคเหี่ยว

โรคผลเน่า


โรคโคนเน่าและรากเน่า
 ใช้เชื้อรา ไตรโคเดอร์ม่า ฮาเซียนั่ม(ไตรซาน) ในการกำจัด หรือ ถมที่ดินให้สูงขึ้นเพื่อปรับสภาพหน้าดินใหม่ 


จิ้งหรีด
จิ้งหรีดแอบกัดกินตามลำต้น

หนอน
หนอนจะเจาะผลพริกตอนเป็นสีเขียว หากแมลงเจาะวางไข่แล้วจะเป็นจุดดำเล็กๆ

-แมลงวันทองวางไข่ มีผลทำให้เมล็ดพริกเขียวไม่แดง หักพริกภายในพบหนอนสีขาวขนาดเล็ก คล้ายเมล็ดข้าวสาร จะเจริญเป็นแมลงวันทองต่อไป


พริกขาดธาตุอาหาร อาการ ใบอ่อนซีดขาว ใบหงิกใบงอ
ป้องกันให้ธาตุแคลเซียม โบรอน

วิธีสังเกตุ
การเข้าทำลายของโรคและแมลงศัตรูพืช  จะเป็นบริเวณกว้างต้นที่อยู่ข้างๆจะแสดงอาการด้วย  
ใบพืชจะมีการพร่องของสีเขียวระหว่างเส้นกลางใบไม่เสมอกัน
การขาดธาตุอาหารจะแสดงออกเป็นบางต้น ใบพืชจะมีการพร่องของสีเขียวระหว่างเส้นกลางใบเสมอกันทั้งสองข้าง ต้นพืชจะทรุดโทรมช้าๆ




ใบพริกขากธาตุเหล็ก



ไรขาว

ราคาพริก
พริกขี้หนูเก็บขายกิโลกรัมละ 80 บาท หากราคาดีกิโลกรัมละ 200 บาท ซึ่งราคาไม่แน่นอน ผักราคามีขึ้นลงทุกวัน ถ้าราคาดีจะเป็นช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธุ์
-พริกเขียวราคาดีช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกปี ส่วนพริกแดงได้ราคาดีช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ของทุกปี
-ราคาพริกตกตั้งแต่เดือนมกราคมอีกเช่นกัน จนถึงเดือนมิถุนายน ราคาจะลดลงเรื่อยๆ วิธีแก้ปัญหาส่วนใหญ่เก็บพริกแดงไว้ขายตากแห้ง



พริกแดง



ลำต้นพริก


การเก็บพริก
หักตรงบริเวณรอยต่อของขั้วพริก ห้ามจับพริกดึงหรือกระตุกขั้ว เพราะดอก ใบ เม็ดอ่อนจะติดมาด้วย
หรือ
หาวัสดุเช่นใบตองตัดมารองใต้ต้นพริก แล้วใช้กรรไกรตัดขั้วพริก ตัดหมดแล้วก็รวบพริกบนใบตองใส่ภาชนะ




วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มะเขือเปราะ

มะเขือเปราะ
ดอกมะเขือเปราะ


มะเขือเปราะ eggplant , brinjal , brinjal eggplant , melongene, garden egg, guinea squash  ,มะเขือเปราะเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศอินเดียเป็นที่นิยมปลูกแทบภาคใต้และภาคตะวันออกของเอเชีย ตำราเกษตรจีนโบราณได้บันทึกมะเขือเปราะไว้เช่นกัน รวมถึงชาวอาหรับ ชาวแอฟริกาเหนือ กรีก และโรมัน


ประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือนิยมปลูกมะเขือสีม่วง รูปทรงยาวรี 12-25ซม กว้าง 6-9 ซม. มีสายพัมธุ์แตกต่างกันทั้งรูปร่างและสี เช่น สีขาว สีม่วง สีดำ

ที่มาของคำว่า "eggplant" เมื่อยุโรปสมัยศตวรรษที่ 18 มะเขือมีสีขาวและสีเหลือง สีคล้ายไข่ไก่หรือไข่ห่าน จึงเรียกว่า "eggplant"

หากมะเขือที่อยู่ในป่า จัดเป็นพฤษศาสตร์ไม้เล็ก ขนาดเมล็ดเล็ก เมล็ดมีรสขม เพราะมีสาร nicotinoid alkaloids ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับในใบยาสูบ


ผลเป็นรูปทรงไข่  สีวาว เนื้อด้านในเป็นสีขาว  เมื่อผ่าผลมะเขือออกเป็น สองซีก เนื้อจะเริ่มคล้ำเป็นสีน้ำตาล

อาหาร มะเขือมีรสหวาน ขมเล็กน้อย เนื้อภายในเรียบ เมล็ดมีขนาดเล็กอ่อนนุ่มแต่สามารถกินได้ ผิวบาง อาหารที่นิยมไปทำจำพวก ตุ๋น ทอด ย่าง เผา




ลำต้นเป็นหนามเล็กน้อย  ดอกเป็นสีขาว หรือม่วง มีกลีบดอก 5 กลีบ และมีเกสรสีเหลือง

ศัตรู ด้วงหมัด เพลี้ยและไรเดอร์ แมลงมันฝรั่ง วิธีกำจัดคือ ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อควบคุมจำนวนแมลงและแบคทีเรีย ควรปลูกห่างกัน 45-60 ซม. ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์อีกทีหนึง และมีการคุมดินรักษาความชุ่มชื้น เพื่อป้องกันวัชพืชและเชื้อรา


มะขามหวาน

มะขามหวาน

ผลมะขาม เป็นฝักยาวตรง หรือโค้งก็มี แม้แต่มะขามข้อเดียวก็มีซึ่งเป็นมะขามที่ฝักมีข้อเดียวลักษณะกลมป้อม  ฝักอ่อนมีสีเขียวอมเทา เมื่อฝักเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นสีจะเริ่มเข้มจนเป็นสีเทา ส่วนเนื้อภายในเมื่อแก่เต็มที่เนื้อภายในเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ดอยู่

สายพันธุ์
-มะขามหวานทะวาย

การเก็บเกี่ยว
ผลมะขามเริ่มสุกในช่วงปลายปีเดือนธันวาคม




ใบมะขาม ออกตามใบกิ่ง  เป็นใบประกอบ แบบขนนก มีแกนตรงกลาง แยกใบย่อยออกเป็น 2 ทาง คล้ายขนนก ปลายใบสุดมี 2 ใบและโคนใบมน




มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางและไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เป็นไม้เขตร้อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ทวีปแอฟริกา กระจายมายังทวีปเอเชียเขตร้อน และแทบลาตินอเมริกา





มะขามแตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกแข็ง ผิวขรุขระและหนา สีน้ำตาล หากแก่มากเป็นสีดำและแตกลายงา ไม่มีหนาม เป็นพืชที่กิ่งเหนียวมาก แม้ว่ากิ่งตายแล้วก็ยังคงความเหนียวอยู่ ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นฟืนหรือถ่าน




เนื้อมะขามดิบ


การนำไปใช้ประโยชน์
-ใบมะขาม ทำน้ำปุ๋ยหมัก ใบมะขามปกติมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน การนำไปทำปุ๋ยหมักจึงเป็นกรดจางๆ โดยควรเติมโดโลไมท์ลงไปเพื่อลดกรด หากนำไปใส่ต้นไม้ที่ชอบกรดอ่อนๆจะเกิดประโยชน์ เช่น อโกรนีม่า บอนสีจะทำให้ใบมีสีสดมากกว่าปกติ หรือหากจะใส่ในต้นไม้ชนิดอื่นก็ใส่ได้ไม่เป็นอันตราย

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ส้มซ่า


ส้มซ่า


ส้มซ่า Citron หรือมะนาวควาย
ภาษาอังกฤษเรียกได้หลายคำเช่น Bitter orang, Seville orangeแทบยุโรปเรียก, Bigarade orange, Marmalade orange
ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus aurantiuml. CV.Group bouquetier


ส้มซ่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่าง Citrus maxima (pomelo) and Citrus reticulata (mandarin) เป็นไม้ยืนต้นสูง 3-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดประเทศอินเดีย

ส้มซ่าเป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีกลิ่นหอม นำไปทำเป็นเครื่องเทศปรุงอาหารก็ได้ หรือนำไปล้างทำความสะอาดก็ได้ ในประเทศแทบยุโรปนำส้มซ่าไปทำแยม

ยา
ทางการแพทย์ส้มซ่า ถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรเป็นยากระต้น ระงับอาการความยากอาหาร เป็นยากระตุ้นทำให้เราตื่นตัวเนื่องจากมีสาร synephrine

synephrine : มีอีกชื่อว่า oxedrine เป็นสารที่มีโครงสร้างใกล้เคียงกับยาเสพติดหลายๆตัว มีคุณสมบัติขยายม่านตาและลดอาการคัดจมูก ปัจจุบัน synephrine เป็นสารเคมีที่ผิดกฏหมายในหลายประเทศเนื่องจากเป็นสารตั้งต้นในการผลิต Metamphetamine
ผลข้างเคียงsynephrineคือ การผิดปรกติของระบบหัวใจ หลอดเลือด ทำให้ใจสั่น และเส้นโลหิตในสมองแตกได้ และมีผลข้างเคียงถึงชีวิต


ระยะดอกตูม ส้มซ่า

ระยะดอกตูนประมาณ 10 วัน

ดอกส้มซ่า จากระยะดอกตูมจนบาน ประมาณ 25 วัน


พันธุ์ส้มซ่า
ในประเทศเวียดนามส้มซ่าเป็นผลไม้พื้นเมืองของชาวเวียดนามหาได้ตามป่าดิบ และประชาชนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ก็มีการนำส้มซ่ามาทำเป็นแยม เหล้า เหล้าประเภทวอสก้าเช่นยี่ห้อ Grand Marnier และเหล้ายี่ห้อ Curacao การนำดอกส้มซ่ามาทำน้ำมันหอมระเหย aromatic

ในประเทศแทบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จะเรียกส้มซ่าว่า Bitter orange มักนำเปลือกส้มซ่าซึ่งมีผิวหนาเป็นบุ๋มนำมาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เป็นแยมซึ่งสร้างรายได้กว่าการขายส้มหวานชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังเอาไปทำแช่อิ่ม เหล้ารสส้ม

ในประเทศอังกฤษและ แคว้นอันดาลูซีอา(Andalusia)ประเทศสเปน  นำผลผลิตใน 1 ปีของส้มซ่าทั้งหมดมาทำเป็นแยม

ในประเทศอิตาลีนำส้มซ่าไปทำเครื่องดื่มประเภทโซดา และเครื่องดื่่มประเภท soft drink ยี่ห้อChinotto เป็นเครื่องดื่มผลไม้จากดอกเมอร์เทิล(Myrtle)กับส้มซ่า


ในการแพทย์แผนโบราณของจีนและญี่ปุ่น นำต้นDaidai สายพันธุ์ของส้มซ่ามาใช้ในการรักษาซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะและชูกำลัง  ช่วงเทศกาลปีใหม่ชาวจีนและญี่ปุ่นจะนำต้นDaidai มาเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปีเนื่องจากดอกมีความสวยงามและนำผลส้มซ่ามาผสมกับชาเพิ่มความ aromatic


ป่าส้มซ่าฟลอริดาเกิดขึ้นใกล้กับลำธารเล็กๆ ซึ่งเป็นป่าที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ อันเป็นส่วนหนึ่งของป่าฟลอริดาและบาฮามาส เป็นพันธุ์ส้มซ่าของที่นี้ได้มาจากประเทศสเปน


มะกรูดBergamot ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมของ ส้มซ่ากับส้มlimetta เป็นที่นิยมในประเทศอิตาลี ในการทำผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกรูด เป็นส่วนประกอบของแบรนน้ำหอมและชา เช่น Earl Grey (อ่านว่า เอิร์ลเกรย์)

ยอดอ่อนส้มซ่า



แมลงและศัตรูพืช
เพลี้ยไฟ กำจัดด้วยสาร Natural oil  98.8 % เพื่อไปอุดทางเดินหายใจของเพลี้ยข้างลำตัว ทำให้หายใจไม่ออกเลยตาย และคุณสมบัติอีกอย่างของน้ำมันประเภทนี้คือ มีความหนืด เหนียวๆ เพลี้ยลำตัวขนาดเล็กแรงไม่พอ จึงเหนียวติดต้นไม้ตาย

หรือ เพลี้ยไฟ กำจัดด้วยสารอิมิดาคลอพริด (imidacloprid) สารกำจัดแมลงชนิดดูดซึม ออกฤทธิ์ทั้งถูกตัวตายและกินยาตาย ใช้อัตรา 10 ซ๊ซี ต่อน้ำ 20 ลิตร


ยอดอ่อนส้มซ่า


การใช้งาน
ส้มซ่าที่มีขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นแก่นไม้แล้ว มีสีเหลืองและสีขาว นำมาทำเป็นไม้เบสบอลในประเทศคิวบา

 ในการทำพันธุ์ส้มหวาน sweet orange เพื่อจำหน่ายจะนำตอส้มซ่ามาตัดแต่งกิ่ง

ผลส้มซ่าและใบส้มซ่านำมาทำเป็นแชมพูและสบู่ได้


การนำส้มซ่ามาทำอาหาร

ชาวทมิฬ ประเทศอินเดีย นำผลส้มซ่าหั่นเป็นชิ้นเล็กๆหมักกับเกลือ ชาวอินเดียเรียกว่า Narthangai  นำมารับประทานกับข้าวเต้าหู้ (Yoghurt rice/thayir sadam)

กานำน้ำของผลส้มซ่า มาหมักกับเนื้อ เพื่อให้เนื้อนุ่ม หอม น่ารับประทาน เช่น นิการากัว คิวบา โดมินิกัน เฮติ คล้ายกับอาหาร ซิวิชี (Ceviche) ประเทศเปรู ที่นำอาหารทะเลมาหมักกับมะนาว

เปลือกส้มซ่านำมาทำเป็นเหล้าในตระกูล bitters ซึ่งมีกลิ่นฉุนมาก

ในแคว้นยูคะทาน ประเทศเม็กซิโก ใช้ส้มซ่าเป็นส่วนผสมหลักในการทำ Cochinita pibil

ในการทำหมักเบียร์ของประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นเบียร์ประเภท วิทเบียร์ Witbier ต้องใช้ข้าวสาลีหรือข้าวโอ้ต ผสมกับเครื่องเทศเช่น เปลือกส้มซ่า เบียร์ที่ได้จะมีสีอ่อน ขุ่น มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย มีฟองฟู่ฟ่อง ด้วยเบียร์ลักษณะเช่นนี้ บางคนจึงเรียกว่า เบียร์ขาว white beer


ในประเทศฟินแลนด์และสวีเดน ใช้เปลือกส้มซ่าทำขนมปังขิง เรียกว่า "Pepparkakor" และในงานคริสต์มาสจะใช้เปลือกส้มซ่าเป็นส่วนผสมในการทำ Mammi


ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก ได้แก่ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน นำส้มซ่าไปทำไวน์ร้อน ซึ่งเอาไว้ดื่มในช่วงหน้าหนาว เมื่อจะดื่มต้องนำไวน์ไปอุ่นก่อน ชาวนอร์ดิกเรียกว่าการเสิร์ฟร้อนหรือเสิร์ฟอุ่น หรือ Glogg

ในกรีซและไซปรัส นำส้มซ่ามาทานกับขนมspoon sweets

เมือง Narenj ประเทศอิหร่าน นำส้มซ่าไปทำน้ำสลัด

ดอกส้มซ่าสดจะมีกลิ่นหอมมาก นำมาทำแยมราคาคุณภาพ


ในตุรกี ในรัฐ Cukurova นำส้มซ่ามาทำน้ำสลัด