วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
แรดดำตะวันตก ถูกประกาศว่าสูญพันธ์แล้วโดย IUCA
แรดดำตะวันตกลำตัวยาว 3-3.8 เมตร สูง 1.4-1.7 เมตร น้ำหนัก 800-1,300 กิโลกรัม มีสองเขา เขาแรกวัดความยาวได้ 0.5-1.3 เมตร และเขาที่สองวัดได้ 2-55 เซนติเมตร
แรดดำตะวันตกถูกล่าอย่างหนักในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่ประชากรเพิ่มขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1930 หลังมีมาตรการอนุรักษ์ออกมา แต่ด้วยความพยายามคุ้มครองได้ลดลงเป็นเวลาหลายปี ทำให้ประชากรแรดดำตะวันตกลดลง จนถึง ค.ศ. 1980 ประชากรลดลงเหลือเพียงหลักร้อย การบุกรุกล่าสัตว์ดำเนินต่อไปและจนถึง ค.ศ. 2000 มีการประเมินว่ามีแรดดำตะวันตกหลงเหลืออยู่เพียง 10 ตัว ต้น ค.ศ. 2006 การสำรวจอย่างเข้มข้นทางแคเมอรูนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของแรดดังกล่าว ไม่พบแม้แต่ตัวเดียว แต่ความพยายามค้นหาตัวที่ยังหลงเหลืออยู่ดำเนินต่อไป ไม่มีแรดดำตะวันตกที่ทราบกันว่ามีการเลี้ยงไว้ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สปีชีส์ย่อยดังกล่าวถูกประกาศว่าสูญพันธุ์โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ
credit : wikipedia.org
วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554
การปลูกข้าว
1. การปลูกข้าวไร่ การปลูกข้าวไร่ หมายถึง การปลูกข้าวบนที่ดอนและไม่มีน้ำขังในพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าวที่ปลูกก็เรียกว่า ข้าวไร่ พื้นที่ดอนส่วนมาก เช่น เชิงภูเขามักจะไม่มีระดับ คือ สูง ๆ ต่ำ ๆ จึงไม่สามารถไถเตรียมดินและปรับระดับได้ง่าย ๆ เหมือนกับพื้นที่ราบ เพราะฉะนั้นชาวนามักจะปลูกแบบหยอด โดยขั้นแรกทำการตัดหญ้าและต้นไม้เล็กออก แล้วทำความสะอาดพื้นที่ที่จะปลูกแล้วใช้หลักไม้ปลายแหลมเจาะดินเป็นหลุมเล็ก ๆ ลึกประมาณ 3 เซนติเมตร ปากหลุมมีขนาดกว้างประมาณ 1 นิ้ว หลุมนี้มีระยะห่างกันประมาณ 25 x 25 เซนติเมตร ระหว่างแถวและระหว่างหลุมภายในแถว ปกติจะต้องหยอดเมล็ดพันธุ์ทันทีหลังจากที่ได้เจาะหลุม โดยหยอด 5-8 เมล็ดต่อหลุม หลังจากหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้วก็ใช้เท้ากลบดินปากหลุม เมื่อฝนตกลงมาหรือเมล็ดได้รับความชื้นจากดิน ก็จะงอกและเจริญเติบโตเป็นต้นข้าว เนื่องจากที่ดอนไม่มีน้ำขังและไม่มีการชลประทาน การปลูกข้าวไร่จึงต้องใช้น้ำฝนเพียงอย่างเดียว พื้นดินที่ปลูกข้าวไร่จะแห้งและขาดน้ำทันทีเมื่อสิ้นฤดูฝน ดังนั้นการปลูกข้าวไร่จะต้องใช้พันธุ์ที่มีอายุเบา โดยปลูกในต้นฤดูฝน และแก่เก็บเกี่ยวได้ในปลายฤดูฝน การปลูกข้าวไร่ ชาวนาจะต้องหมั่นกำจัดวัชพืช เพราะที่ดอนมักจะมีวัชพืชมากกว่าที่ลุ่ม เนื้อที่ที่ใช้ปลูกข้าวไร่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อย และมีปลูกมากในภาคเหนือและภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางปลูกข้าวไร่น้อยมาก
2. การปลูกข้าวนาดำ การปลูกข้าวในนาดำ เรียกว่า การปักดำ ซึ่งการปักดำนั้นจะกระทำเมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25-30 วัน จากการตกกล้าในดินเปียกหรือการตกกล้าในดินแห้ง ก็จะโตพอที่จะถอนเอาไปปักดำได้ สำหรับต้นกล้าที่ได้มาจากการตกกล้าแบบดาปกนั้น ในเมืองไทยยังไม่เคยปฏิบัติ คิดว่าจะต้องมีอายุประมาณ 20 วัน จึงเอาไปปักดำได้ เพราะต้นกล้าขนาด 10-14 วันนั้น อาจมีขนาดเล็กเกินไปที่จะใช้ปักดำในพื้นที่นาของเรา ขั้นแรกให้ถอนต้นกล้าขึ้นมาจากแปลงแล้วมัดรวมกันเป็นมัด ๆ ถ้าต้นกล้าสูงมากก็ให้ตัดปลายใบทิ้ง สำหรับต้นกล้าที่ได้มาจากการตกกล้าในดินเปียก จะต้องสลัดเอาดินโคลนที่รากออกเสียด้วย แล้วเอาไปปักดำในพื้นที่นาที่ได้เตรียมไว้ พื้นที่นาที่ใช้ปักดำควรมีน้ำขังอยู่ประมาณ 5-10 เซนติเมตร เพราะต้นข้าวอาจถูกลมพัดจนพับลงได้ในเมื่อนานั้นไม่มีน้ำอยู่เลย ถ้าระดับน้ำในนานั้นลึกมาก ต้นข้าวที่ปักดำอาจจมน้ำในระยะแรก และทำให้ต้นข้าวจะต้องยึดต้นมากกว่าปกติ จนมีผลให้แตกกอน้อย การปักดำที่จะให้ได้ผลผลิตสูง จะต้องปักดำให้เป็นแถวเป็นแนว และมีระยะห่างระหว่างกอมากพอสมควร โดยทั่วไปแล้วการปักดำมักใช้ต้นกล้าจำนวน 3-4 ต้นต่อกอ ระยะปลูกหรือปักดำ 25 x 25 เซนติเมตร ระหว่างกอและระหว่างแถว
ซึ่งวิธีการปลูกแบ่งออกได้เป็นสองตอน ตอนแรกได้แก่การตกกล้าในแปลงขนาดเล็ก และตอนที่สองได้แก่การถอนต้นกล้าเอาไปปักดำในนาผืนใหญ่ ดังนั้น การปลูกแบบปักดำอาจเรียกว่า indirect seeding ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
3. การปลูกข้าวนาหว่านการปลูกข้าวนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยเอาเมล็ดพันธุ์หว่านลงไปในพื้นที่นาที่ได้ไถเตรียมดินไว้โดยตรง ซึ่งเรียกว่า direct seeding การเตรียมดินก็มีการไถดะและไถแปร ปกติชาวนาจะเริ่มไถนาสำหรับปลูกข้าวนาหว่านตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากพื้นที่นาสำหรับปลูกข้าวนาหว่านไม่มีค้นนากั้น จึงสะดวกแก่การไถด้วยรถแทร็กเตอร์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีชาวนาจำนวนมากที่ใช้ แรงวัวและควายไถนา การปลูกข้าวนาหว่านมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การหว่านสำรวย การหว่านคราดกลบหรือไถกลบ และการหว่านน้ำตม
หลังจากทำการปลูกข้าวแล้ว ยังมีขั้นตอนอื่นๆที่สำคัญที่จะต้องคำนึงถึง ดังต่อไปนี้
1. การดูแลรักษา
2. การเก็บเกี่ยว
3. การนวดข้าว
4. การทำความสะอาดเมล็ดข้าว
5. การตากข้าว
6. การเก็บรักษาข้าว
ที่มา ไก่เขียว
http://www.vcharkarn.com/vcafe/176233
โรคและแมลง
-แมลงเต่าทอง เป็นสัตว์กินสัตว์ เป็นแมลงประเภทตัวห้ำ ถือเป็นมิตรกับนาข้าว เพราะช่วยกำจัดแมลงที่ทำลายต้นข้าว ช่วยกำจัดเพลี้ย และยังมีแมลงที่เป็นประโยชน์ต่อนาข้าวอีกเช่น แมลงปอ แมงมุม ตัวหั่มตัวเบียน
-วัชพืชจำพวกผักอีฮีนหรือผักขาเขียด ควบคุมการขยายตัวของวัชพืชนี้ด้วย แหนแดง ก่อนนำแหนแดงลงนาควรใส่ปุ๋ยก่อนหนึ่งครั้ง เพื่อบำรุงให้ต้นแหนแดงเขียวชอุ่ม ไม่เช่นนั้นต้นจะเป็นสีแดงเพราะขาดปุ๋ย
- ใบสีแสด เกิดจากแมลงพาหะเพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก กำจัดโดยเชื้อเมราไทเซียม ผสมสาหร่ายสไปรูไรน่า ผสมน้ำยาเสริมประสิทธิภาพ และตัดใบที่เป็นสีแสดออกพอสมควร
ข้าวลูกผสม ความหวังเพิ่มผลผลิต
ข้าวลูกผสม T6-4 เป็นพันธุ์แม่ที่ได้จากข้าวพันธุ์สุพรรณบุรี 3 ซึ่งเป็นพันธุ์พ่อ โดยผลจากการทดลองปลูกข้าวลูกผสม T6-4 พบว่าได้ผลผลิตต่อไร่สูงถึง 1,578 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ได้ข้าวลูกผสมที่ให้ผลผลิตต่อไรมากกว่า 2 กิโลกรัมประมาณ 20 สายพันธุ์ ทั้งนี้คาดหวังว่าอีก 3 ปีจะสามารถพัฒนาจนถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ชาวนาได้ลองปลูกเพื่อประเมินว่าคุ้มหรือไม่
นักวิจัย กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ต้องผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปทดสอบที่สถานีทดลองข้าวในเขตภาคกลางอีกหลายสถานี โดยต้องทดลองปลูกอย่างน้อย 3 ฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จากนั้นจึงนำไปทดสอบกับแปลงเกษตรที่ใหญ่ขึ้น และในขั้นตอนสุดท้ายคือปลูกในแปลงขนาดใหญ่แล้วให้ชาวนาเลือกว่าจะใช้พันธุ์ไหนดีที่สุด
นักวิจัย กล่าวต่อว่า เทคนิคผสมข้ามสายพันธุ์เป็นทางเลือกหนึ่งการปรับปรุงพันธุ์ข้าวนอกเหนือจากเทคนิคทางพัฒนากรรมสมัยใหม่ หรือการดัดแปรพันธุกรรมในระดับยีน หรือ จีเอ็มโอ ซึ่งยังคงเป็นข้อถกเถียงถึงปัญหาด้านความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบนิเวศน์ใกล้เคียง
นอกจากนี้ทิศทางของงานวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวยังมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มคุณค่าด้านสารอาหารลงในข้าวสายพันธุ์ลูกผสม ให้มีคุณค่าเทียบเท่าข้าวหอมมะลิ มีปริมาณแป้งหรืออะไมเลส (Amylase) สูง เหมาะสำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่ต้องการใช้ข้าวเป็นส่วนผสมหลัก เช่น อุตสาหกรรม แป้ง อุตสาหกรรมยา ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกของความต้องการผลผลิตข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม ทดแทนการผลิตเพื่อบริโภคเพียงอย่างเดียว
พันธ์ข้าวลูกผสม ผ่าทางตันวิกฤตข้าวไทย
แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดโลกตื่นเต้นกันยกใหญ่ มาจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติเอลนีโญ อาจเวียนกลับมาอีกรอบในปีนี้ และส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนข้าวครั้งใหญ่ ทำให้ทุกประเทศเร่งกักตุนข้าว ดันให้ราคาข้าวในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
จุดเริ่มต้นของข้าวลูกผสมมาจากประเทศจีน จากเหตุผลที่ปริมาณข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภคของคนในประเทศ ส่งผลให้ ศ.หยวน ลองปิง (Prof.Yuan Longping) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาข้าวลูกผสมแห่งจีน (China National Hybrid Rice R&D Center) ได้รับยกย่องให้เป็น บิดาแห่งพันธุ์ข้าวลูกผสม ซึ่งเป็นแนวทางให้นักวิจัยทั่วโลกหันมาทำการวิจัยเพื่อพัฒนาพัฒนาข้าวลูกผสมมากขึ้น
จากสถิติระบุว่าผลผลิตข้าวของประเทศไทยโดยเฉลี่ย ระหว่างปี 2546-2548 อยู่ที่ประมาณ 450 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งจัดอยู่อันดับที่ 6 ของโลก ต่ำกว่าประเทศเวียดนามที่ผลผลิตข้าวเฉลี่ยราว 750 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่จีนครองอันดับสูงสุดผลิตข้าวเฉลี่ยได้มากกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่
“แม้ไทยจะเป็นประเทศส่งออกข้าวติดอันดับหนึ่ง แต่อาจจะต้องเสียแชมป์ให้ประเทศคู่แข่งได้ หากผลผลิตต่อไร่ยังคงหยุดนิ่ง ตรงกันข้ามกับประเทศคู่แข่งที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้สูงกว่า” นักวิจัยกล่าว
ความคิดเห็นที่น่าสนใจ
unity sun power "เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลูกผสมจะมาพร้อม ๆ กับเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะกับพันธุ์นั้น ๆ ในประเทศไทยเกษตรกรใช้เทคโนโลยีการผลิตที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ เข่น การเข้าถึงชลประทาน สภาพภูมิศาสตร์ นิเวศน์เกษตร ปริมาณน้ำฝนและการกระจายของฝน ที่ดิน ทุน แรงงาน ขนาดของฟาร์ม การใช้พันธุ์ลูกผสมอาจไม่เพิ่มผลผลิตตามที่หวัง และอาจปลูกได้เฉพาะในเขตชลประทาน ซึ่งมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผลิตข้าว ถ้าจะเพิ่มให้ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ไทยทำไม่ได้เพราะผู้คัดค้านมีเยอะ จะสร้างเขื่อนทีแสนจะลำบากจะผันน้ำจากแม่น้ำโขงก็ยาก"
alexanderray "ผมว่าที่จริงข้าวแพง น่าจะเป็นสาเหตุเพราะนักเก้งกำไร มากกว่าประเทศเราส่งข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถึงเกือบร้อยละ 50 การที่ข้าวแพงแต่ชาวนายากจน เพราะน่าจะมาการกดราคา ข้าวจากชาวนา แล้วขายข้าวแพงให้เราทาน ฉะนั้นเงินก็ตกกับพ่อค้า ผมว่านอกจากที่เราจะปลูกข้าวลูกผสมแล้ว น่าจะเก็บข่าวพันธุ์พื้นเมืองไว้ด้วยก็ดี เป็นธนาคารข้าว นอกจากธนาคารข้าว ก็น่าจะมีโรงสีของรัฐ โกง ดังเก็บข้าวของรัฐ โดยไม่ต้องฝากเก็บกับโรงสีข้าวของเอกชน เพราะถ้าเก็บไว้เอกชน รัฐไม่มีเงินมาจ่ายค่าเช่าโกดัง โรงสีเอกชนก็ยักยอกข้าวไปขายเพราะต้องเอาเงินมาดูแลโรงสี แม้จะกู้กับธ.ก.ส. มาก็ไม่คุ้มทุน ลงทุนสร้างโรงสีรัฐครั้งเดียวแต่คุ้มไปถึง สิบ ปี รัฐก็ได้ภาษีข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย ชาวนา ก็ลืมตาอา ปากได้เพราะรัฐรับซื้อข้าวเป็นราคามาตรฐาน ในตลาด เพราะบ้างที่ราคาข้าวถูกพ่อค้า กดราคาจนน่าเกลียด
เรื่องการชลประทานถ้าหากเราไปเปรียบเทียบกับเวียดนาม ขอบอกว่าเราได้เปรียบที่สภาพภูมิประเทศมาก เรามีแม่นําเยอะ กว่า ข้าวที่ได้มีคุณภาพ เราสามารถทำนาปรัง ปีละสองครั้ง แต่เราขาด คนเพราะว่า คนส่วนใหญ่มักจะหันน่าเข้าเมือง เพราะว่าการปลูกข้าวนั้นประเทศไทยเรา ยิ่งปลูก ทุนหายกำไรหด ส่วนที่เวียดนามนั้น รัฐจะเข้าไปดูแลเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นปัจจัยหลัก แล้วยังมีระบบการจัดการที่ดีกว่าระบบของไทย มาก"
ที่มา เอกวิทย์ เตระดิษฐ์ ณ วิชาการ . คอม
รู้จักข้าวท้องไข่ไหม
น้ำหนักเมล็ด ความแข็งของเมล็ด และปริมาณเม็ดสตาร์ช (starch granules) ของข้าวท้องไข่ต่ำกว่า ลักษณะโครงสร้างของเม็ดสตาร์ชแตกต่างกัน ตามปกติจะมีลักษณะเป็นรูปหลายเหลี่ยมที่เห็นชัดเจนเมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายเหมาะสม ส่วนเม็ดสตาร์ชข้าวท้องไข่จะเป็นรูปทรงกลม
ปริมาณแอมิโลส( amylose )ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อสมบัติของเม็ดสตาร์ชในการนำไปใช้ประโยชน์ ลดลงในข้าวท้องไข่
ลักษณะโครงสร้างทางเคมีของแอมิโลเพกติน ( amylopectin)แตกต่างไปทั้งความยาวของสายโซ่ การกระจายตัวและการแตกแขนงของสายโซ่สั้น ซึ่งส่งผลต่อสมบัติของแป้งข้าวที่นำไปใช้ต่อ
ข้าวท้องไข่มักจะพบปะปนมาปริมาณสูงจากข้าวนาปรัง
เวลากินข้าวท้องไข่จะมีความรู้สึกแตกต่างจากข้าวธรรมดา หากมีข้าวท้องไข่บนอยู่เกินกว่าร้อยละ 15 เนื่องจากข้าวท้องไข่จะดูดซับน้ำไว้สูงทำให้ข้าวสุกมีลักษณะที่เราเรียกว่า อมน้ำแฉะๆ
ข้าวท้องไข่นอกจากจะแตกต่างด้านลักษณะของเม็ดสตาร์ชและองค์ประกอบที่กล่าวแล้วในความเห็นที่2 ยังพบว่า มีผลต่อลักษณะของน้ำแป้งที่ต้องเตรียมขึ้นเพื่อผลิตขนมต่างๆรวมถึงการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เรานิยมกินกันอยู่ เช่นการพองตัวของเม็ดสตาร์ช ความข้นหนืดของน้ำแป้ง ที่ได้จากแป้งข้าวที่มีท้องไข่ปนอยู่มาก จะค่าต่ำกว่า เมื่อเทียบกับแป้งข้าวเม็ดใส และอุณหภูมิการเกิดเจลลาติไนซ์(gelatinize )รวมถึงสมบัติที่เกี่ยวกับแป้งเมื่อผ่านความร้อน ที่ศึกษาด้วยวิธี DSC-Differential scanning colorimeter
ขอบคุณ saisanom ณ วิชาการ.คอม
วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วิธีการปลูกข้าวในอ่างซีเมนต์(บ่อส้วม)
นายธนาวัฒน์ โชค กำทอง หมอดินอาสาบ้านหนองกระโดน ตำบลบึงอ้อ อ.ขามทะเล สอ จ.นครราชสีมา มีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 24 ไร่ ทำเกษตรผสม ผสาน ปลูกข้าวอินทรีย์ มันสำปะหลัง ยางพารา ปลูกไม้ผล ผักสวนครัว เลี้ยง ปลา จนประสบความสำเร็จโดยเน้นแบบอินทรีย์อยู่ได้แบบพอเพียง และล่าสุดคิด วิธีการปลูกข้าวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์
โดยนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะต้นกล้าในถาด แช่เมล็ดข้าวไว้ 2 คืน แล้วทำการดูดน้ำออก ให้สังเกตต้นข้าวจะแตกหน่อออกราก พอเพาะได้ 7 วัน ต้นกล้าข้าวจะสูง 2 นิ้ว ให้ใส่น้ำลงไปให้เห็นเฉพาะปลายข้าวที่โผล่ขึ้นมา พร้อมที่จะปลูก
การปลูกข้าวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์
1.การปลูกเริ่มต้น ด้วยการเตรียมท่อปูนขนาด 50x50 เซนติเมตร (บ่อส้วม)
2.ใส่ดินลงไปในบ่อให้มีความสูงขนาด 40 เซนติเมตร
3.นำดิน 1 กิโลกรัม ผสมกับปุ๋ยหมัก 1 กิโลกรัม เทลงไปบนหน้าดิน แล้วใส่น้ำให้เต็มบ่อแช่ดินไว้เพื่อกำจัดวัชพืช 15 วัน
4.เมื่อครบกำหนด 15 วัน ให้ทำการใส่ปุ๋ยคอก แล้วนำข้าวมาปักต้นกล้า โดยปักบ่อละประมาณ 7 กอ ถ้ามากกว่านี้จะทำให้แน่นไป
5.หลังจากปักดำครบ 15 วัน ให้ใส่น้ำเต็มบ่อ เพื่อให้มีความชุ่มชื้น60% และใส่ปุ๋ยคอกลงไป 1 กก./บ่อ ใส่ 15 วันต่อครั้ง
6.เมื่อต้นข้าวสูง 50-60 เซนติเมตร ข้าวจะสมบูรณ์ อยู่ในช่วงข้าวตั้งท้อง หากมีใบเหลืองให้ใส่ปุ๋ยคอก 3 ขีดต่อ 1 บ่อ ตามด้วยการฉีดน้ำหมัก พด.2 และ พด.7 เพื่อป้องกันแมลง โดยเบื้องต้นการป้องกันแมลงให้นำมะกรูดมาผ่าเป็นซีกแล้วนำไปลอยน้ำในบ่อไว้ เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของหนอน แมลง
7.ในการเก็บผลผลิตข้าว ให้เก็บรวงข้าวโดยการเด็ดชุดแรกตรงป้องแรกของรวงข้าว ต่อ 1 ต้นสามารถเก็บได้ 3รอบ โดยให้เก็บผลผลิตเมื่อข้าวเริ่มมีการตั้งท้องในปล้องที่สองของต้นข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวรุ่นที่สามแล้ว ให้ทำการกดต้นข้าวฝังลงไปในดินในบ่อ เหมือนการไถกลบตอซังข้าวและปล่อยน้ำเข้าบ่อให้ท่วมพอดีเป็นการปรับปรุงบำรุง ดินเพื่อเตรียมบ่อลงปลูกรอบต่อไป
ผลผลิตใน 1 บ่อต่อรอบที่เก็บจะได้ปริมาณข้าวเปลือกบ่อละ 1.8 กิโลกรัม
สูตรน้ำหมักบำรุงนาข้าว
วัตถุดิบ กล้วยสุก 5 กิโลกรัม ,มะละกอ 5 กิโลกรัม,ฟักทอง 5 กิโลกรัม สับผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับกากน้ำตาล 10 ลิตร หัวเชื้อ 5 ลิตร พด.2 1 ซอง ละลายน้ำ 150 ลิตร หมักนาน 3 เดือน อัตราส่วนในการใช้ น้ำหมัก 1 ขวดลิโพต่อน้ำ 20 ลิตร จะช่วยเร่งการเจริญเติบโต
สูตรน้ำหมักกำจัดป้องกันไล่แมลง
1.พริกสด 1 กิโลกรัม
2.กระชาย 1 กิโลกรัม
3.มะกรูดผ่าซีก 50 ผล
4.กากน้ำตาล 5 ลิตร
5.น้ำหมักหัวเชื้อ 5 ลิตร
6.น้ำส้มควันไม้ 5 ลิตร
นำส่วนผสมมาคลุกเคล้าคนให้เข้ากัน ผสมกากน้ำตาลที่ละลายกับน้ำ 20 ลิตรเอาไว้ ตามด้วยการนำ พด.7 มาละลายน้ำ 15นาที นำมาหมักรวมทั้งหมดในถัง หมักนานอย่างน้อย 20 วัน สามารถนำไปใช้ได้ น้ำหมัก 1 ขวดลิโพต่อน้ำ 20 ลิตร จะช่วยกำจัดป้องกันไล่แมลงทุกชนิด
credit
http://www.bannangio.com/index.php?mo=5&qid=370174
การทำนาปลัง
การปักดำจะทำในช่วงต้นเดือนธันวาคมและจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนมีนาคมแต่อาจมีชาวนาบางรายที่ปักดำล่าช้าเช่นปักดำในช่วงเดือนมกราคมก็จะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน
การปลูกข้าวนาปรังนั้นสำคัญที่การควบคุมน้ำให้ขังอยู่ตลอด ทำให้ต้องผันน้ำเข้านาประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง รวมเวลาในการเพาะปลูกประมาณ3 - 4 เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวได้
วิธีการทำนาปรัง
1. การเตรียมแปลงเพาะกล้า จะทำการไถดินและตากดินไว้ 10-15 วัน จากนั้นระบายน้ำให้ท่วมแปลง แล้วทำการไถดินและเตรียมดิน ทำการปรับแปลงกว้าง 3 เมตร ความยาวของแปลงขึ้นอยู่กับสภาพแปลง ระยะระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร
2. การหว่านกล้า หว่านเมล็ดลงในแปลงเพาะกล้า ใช้เมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อต้นกล้าอายุได้ 7 วัน จะหว่านปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตราเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของต้นกล้า เมื่อต้นกล้า 30 วัน ก็ถอนย้ายกล้าไปปลูก
3. การเตรียมแปลงนา ทำการไถ 2 ครั้ง ครั้งแรกไถดะและตากดินไว้ 10-15 วัน แล้วปล่อยน้ำให้ท่วมขังประมาณ 10 เซนติเมตร จากนั้นไถพรวนและทำเทือกเพื่อให้ดินร่วนขึ้น
4. การปลูก การปลูกโดยใช้กล้าข้าวอายุ 30 วัน การปักดำโดยใช้กล้า 3 ต้น (1 จับ) ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 50 เซนติเมตร
5. การดูแลรักษา
5.1 การใส่ปุ๋ย หลังการปักดำ 15 วัน จะใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-8 ในอัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ การใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 หลังการปักดำ 5 เดือน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-8 อัตรา 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ และใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 ก่อนข้าวออกดอก 30 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัมต่อไร่ และใช้ปุ๋ยอัดเม็ดชีวภาพหว่านลงในแปลงนาควบคู่กับปุ๋ยเคมี
5.2 การควบคุมระดับน้ำ หลังการปักดำต้นข้าวยังไม่แตกกอ จะระบายน้ำให้ท่วมสูงประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อต้นข้าวแตกกอแล้วจะปรับระดับน้ำให้สูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร หลังจากข้าวออกรวงจะระบายน้ำออกจากแปลงเพื่อให้แปลงนาแห้ง
5.3 การป้องกันกำจัดศัตรูพืช จะใช้น้ำหมักชีวภาพจากสะเดาในการฉีดพ่นในแปลงนา
5.4 การตรวจสอบต้นผิดปกติ จะทำการตรวจแปลงนาหากพบต้นข้าวที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์ปลูกก็จะทำการถอนทิ้ง เพื่อป้องกันการปลอมปน
6. การเก็บเกี่ยว
6.1 ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว ระยะที่เหมาะสมคือ ระยะที่ข้าวออกดอกแล้วประมาณ 30-35 วัน โดยสังเกตจากรวงข้าวจะโน้มลง เมล็ดข้าวมีสีฟางหรือเหลือง
6.2 วิธีการเก็บเกี่ยว ส่วนใหญ่ทำการเก็บเกี่ยวโดยใช้แรงงานภายในครอบครัว
6.3 การตากข้าวก่อนนวด หลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จะตากข้าวไว้ในขอบแปลงนา 2-3 วัน เพื่อให้เมล็ดข้าวแห้ง
7. การนวดข้าว จะใช้การนวดข้าวด้วยเครื่องนวดข้าว มีเพียงบางรายที่ใช้การนวดโดยแรงงานคน การนวดด้วยเครื่องนวดในอัตรา 270-350 บาทต่อข้าว 1,000 ฟ่อน
8. การตากข้าวหลังนวด หลังการนวดเสร็จแล้วจะมีตากข้าวบนลานตาก 2-3 วัน เพื่อให้เมล็ดข้าวแห้งก่อนนำไปเก็บรักษาหรือจำหน่ายต่อไป
9. การเก็บรักษา จะเก็บเมล็ดข้าวโดยบรรจุกระสอบก่อนนำไปเก็บรักษาเพื่อรอการจำหน่าย ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ในยุ้งฉางของตนเอง
10.การตลาด ข้าวนาปรังจะปลูกเพื่อการบริโภคในครัวเรือนมีเหลือจึงแบ่งขาย ราคากิโลกรัมละ 3-4 บาท ต้นทุนในการปลูกค่อนข้างสูง ทำให้พื้นที่ในการปลูกต่อรายไม่น้อย ประมาณ 5 - 10 ไร่ /รายเท่านั้น
11. ข้อแนะนำ เมล็ดพันธุ์ข้าวจะเปลี่ยนทุกๆ 3 - 4 ปี เนื่องจากหากเก็บไว้ขยายพันธุ์นานหลายปีอาจจะทำให้ข้าวกลายพันธุ์และแข็งกว่าปกติซึ่งโดยปกติข้าวนาปรังเมื่อทำให้สุกแล้วจะแข็งไม่นิ่มเหมือนข้าวนาปีและหากใช้พันธุ์ข้าวเดิมนานหลายปีจะทำให้ข้าวแข็งยิ่งขึ้น
credit http://www.bannangio.com/index.php?mo=5&qid=632761
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เหตุผลที่ราคาข้าวถึงตันละ 15,000 บาท
หากนำกำไร 100,000 บาทตรงนี้ไปหาร 365 วัน ก็จะได้ประมาณ 300 บาท (ผลจริงๆหารได้ประมาณ 273 บาท) ที่นี้ 300 บาทตรงนี้ที่ได้ก็จะไปพ่วงต่อกับค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้
ในทางปกติของการซื้อขายข้าวกับโรงสี เมื่อเกษตรนำข้าวไปขาย ทางโรงสีก็จะมีการตรวจสอบความชื่น สิ่งเจือปน ราคาข้าวก็จะต่ำลงมาจากตันละ 15,000 บาท ซึ่งความชื้นไม่เกิน 15% และสิ่งเจือปนไม่เกินร้อยละ 2 ของน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม เรื่องนี้เกษตรกรบางรายถึงกับมั่นใจว่าจะไม่มีเกษตรกรคนใดได้รายได้ถึงตันละ 15,000 บาท
ในขณะที่เกษตรกรอีกคนหนึ่งกลับพูดว่า รายได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวของเกษตรกรเองว่าทำข้าวได้มากหรือน้อย
เกษตรที่พบการทุจริตการชั่งน้ำหนัก การหักลดน้ำหนักความชื้น การหักสิ่งเจือปน แจ้งสายด่วน 1569 หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัด
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
ระบบรับจำนำข้าว
ระบบรับจำนำข้าว เป็นการรับข้าวของเกษตรกรมาแล้วนำเงินมอบให้เกษตรกร รับข้าวมาเพือนำเข้าสู่ระบบ ถึงเวลาจำหน่ายข้าวขาย ได้เงินกลับคืนมาเงินจึงหมุนอยู่ในระบบตลอดเวลา
งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการระบบจำนำข้าว เช่น ค่าดำเนินการ ค่าบริหาร ค่าจัดเก็บ ค่าแปร ค่าดอกเบื้ย บวกกับความสามารถในการจัดเก็บเพื่อให้ใช้งบประมาณน้อยที่สุด และการจำหน่าย
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
นรม. มอบนโยบายคกก.ข้าวแห่งชาติ ย้ำเริ่มรับจำนำข้าว ๗ ตค นี้
http://www.facebook.com/Y.Shinawatra?sk=wall
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
ประโยชน์ของการทานข้าว
ข้าวอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน อันเป็นแหล่งจัดเก็บพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์สำหรับการเจริญเติบโต หากข้าวไม่ผ่านกระบวนการขัดสี หรือเรียกว่า การเอารำข้าวออกจากเมล็ดข้าว หรือเรียกชื่อในทางการค้าว่าข้าวกล้อง ข้างกล้องมีประโยชน์มากกว่าข้าวขาว อาทิเช่น ใยอาหารมากกว่าข้าวขาวถึง 6 เท่า, B3, B1, B6, แคลเซียมและโพแทสเซียมมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า
ข้าวกล้องมีปริมาณใยอาหารส่ง หากผู้บริโภครับประทานเป็นประจำก็จะส่งผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร ท้องไม่ผูก ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีหากผู้บริโภคเลือกรับประทาน
วิธีการรับประทานข้าวกล้องยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะนำสนอคือ ข้าวกล้องงอกอันเป็นงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น
วิธีการทำก็คือการนำข้าวกล้องไปแช่น้ำจนเกิดหน่อเล็กๆ ซึ่งมีสารตัวหนึ่งอันเป็นส่วนสำคัญในทางสารอาหาร เป็นตัวสื่อสารต่างในระบบสมองคือ กาบ่า ( Gamma amino butyric acid ) เมื่อบริโภคอย่างต่อเนื่องแล้วสามารถช่วยในเรื่องการเสื่อสภาพของเซลล์สมอง ซึ่งก็จะมีผลช่วยในการป้องกันเกิดอัลไซเมอร์ และยังสามารถที่จะช่วยผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด เมื่อทานโดยสม่ำเสมอ แต่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งเมื่อนำข้าวกล้องไปหุง รสชาติหยาบๆ ไม่อร่อย จึงแก้ปัญหาทางหนึ่งก็คือการทำน้ำข้าวกล้องงอก ไอศครีมข้าวกล้องงอก
ท้ายที่สุดนี้ หากผู้บริโภคสามารถรับประทานข้าวที่มีประโยขน์ก็จะส่งผลต่อสุขภาพของตนและยังเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของเกษตรกร ให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น
P9
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
ข้าวอินทร์ย์
"ข้าวอินทรีย์" organic rice มีกระบวนการเจริญเติบโตโดยใช้ปุ๋ยทางธรรมชาติเช่นปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ในส่วนของการป้องกันแมลงและศัตรูพืช เกษตรกรอินทรีย์จะใช้แมลงและนกในการป้องกัน โดยใช้แมลงและนกตัดวงจรการผสมพันธุ์ของศัตูพืช
ในการใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของข้าว และค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยดังกล่าวสูง เพื่อให้แน่ใจว่าในแปลงนาจะมีธาตุอาหารเพียงพอ เกษตรกรจึงใช้วิธีปลูกพืชหมุนเวียน
ผู้บริโภคท่านใดก็ตามรับประทานข้าวอินทรีย์สุขภาพและร่างกายแข็งแรง แต่ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง แน่นอนว่าเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ยังสามารถขายข้าวอินทรีย์ในราคาสูงกว่าข้าวทั่วๆไป ทำไมราคาข้าวอินทรีย์ถึงแพง? เพราะเกษตรกรต้องใช้เวลาทั้งหมด ไม่มีเวลาว่างไปทำงานอย่างอื่นเลย เนื่องจากในระหว่างการเจริญเติบโตหรือกระบวนการผลิตไม่ได้ใช้สารเคมีเลย เกษตรกรดูแลอย่างใกล้ชิดจึงจะได้ผลผลิตต่อไร่สูง
ส่วนประเด็นในทางสิ่งแวดล้อม การปลูกข้าวอินทรีย์ลดสารเคมีในระหว่างกระบวนการผลิตลงสู่ดิน แม่น้ำ อันเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเทรนใหม่ช่วยรนณรงค์รักโลกอีกด้วย การปลูกข้าวอินทรีย์ส่งผลเป็นดับเบิ้ลคือหมายความว่ามันไม่เพียงส่งผลดีต่อมนุษย์หรอก หากยังส่งผลดีต่อระบบนิเวศด้วย ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ดินดำ ไม่แตกระแหง จุลินทรีย์ในดินเติบโตได้เองตามธรรมชาติผลิตวิตามินและแร่ธาตุทางธรรมชาติ ในที่สุดมันก็ส่งผลย้อนกลับมาเป็นจุดบวกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์
P9
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
การทำปุ๋ยชีวภาพอินทรีและการทำนาเกษตรอินทรีชีวภาพ
1. ดิน 1 กิโลกรัม
2 แกลบ 1 ปีป
3.ใบไม้ 1 ปีบ
4.รำข้าว 3 กิโล
5.คลุกเค้าให้เข้ากันแล้วเลี้ยงไว้ 15 วัน ตัวจุลินทรีก็จะเริ่มเกิดขึ้น หลังจากนั้นบรรจุใส่ถุง 8 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว ใส่เป็นถุงๆไว้
6.นำถัง 200 ลิตร ใส่น้ำสะอาดไป 180 ลิตร เอากากน้ำตาลที่ไม่มีสารเคมีเทใส่ลงไป ขนให้เข้ากัน แล้วเอาหัวเชื้อที่ใส่ถุงไว้ เอามาแช่ไว้เฉยๆ หมักไว้ 15 วัน ก็จะกลายเป็นหัวจุลินทรีขึ้นมาแล้ว
วิธีการทำนาเกษตรอินทรีชีวภาพตอนนี้ ที่นิยมกัน มี 2 วิธี
1. การดำนา ทำแบบเทคโนโลยีใหม่เลย คือเพาะกล้าไว้ในถาดยาว 2 ฟุต กว้าง 1 ฟุต แล้วใช้รถดำนา
2 วิธีนาหว่าน เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่มันมีเทคนิคที่เราไม่ต้องใช้ยาคุมหญ้า ดังนี้ คือ แช่ข้าวไว้ 3 วัน รุ่งเช้าวันที่4 เอาต้นข้าวไปหว่าน (เตรียมดินไว้ให้เรียบก่อนน่ะ) เปิดน้ำเข้า ตกเย็นเปิดน้ำทิ้ง เพราะฉะนั้น ข้าวงอกก่อนต้นหญ้า 3 วันหลังจากนั้นพอข้าวงอกสูงได้ที่แล้วก็เปิดน้ำใส่ ต้นหญ้าที่เกิดทีหลังก็เน่าตาย
วิธีการฆ่าเพลี้ย โดยใช้สมุนไพรนำกิ่งก้านสะเดามาหักแล้วตำให้ละเอียด แล้วจึงไปฉีดลงในนาข้าว แต่หากวิธีนี้จะได้ผลจริงจะต้องไม่ใช้สารเคมีในการฆ่าเพลี้ยเลย
ข้อมูล ลุงทองเหมาะตัวอย่างชาวนาผู้ทำเกษตรอินทรีชีวภาพ ผู้ที่สนใจดูคลิปเพิ่มเติมได้ที่ youtube.com
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
การดำนา ประเทศญี่ปุ่น Planting Rice
ในแปลงนานั้น ชาวนาจะไถน้ำที่ค้างอยู่ในแปลงนาออกไปให้หมด ให้เหลือแต่โคลนเลนและพื้นต้องเรียบเป็นระนาบเดียวกัน สาเหตุที่ต้องกวาดน้ำให้เหลือแต่โคลนนั้น เพื่อที่เครื่องดำนา จะแทงต้นกล้าลงไปให้จมโคลนได้สนิท
พื้นที่บางส่วนที่เครื่องดำนาเข้าไม่ถึง เช่น หัวมุมแปลงนา หรือพื้นที่ที่ติดกับประตูระบายน้ำ (floodgate) ชาวนาก็ต้องลงมือดำนาเอง ซึ่งก็ป็นวิธีแบบโบราณที่เราเคยเห็นๆกัน
ต่อมา
ขนต้นกล้าอ่อนจากแปลงเพาะต้นกล้า ก่อนหน้านี้ แกะต้นกล้าออกมาจากถาดให้เรียบร้อย หรือจะหมุนให้เป็นแท่งจะได้ขนย้ายง่ายๆ ( เจ้าของแปลงนากล่าวไว้ว่า การเพาะต้นกล้าอ่อนนั้นเพียงเราศึกษาข้อมูลเล็กน้อย ดูวิธีการปลูก หรือเข้าฝึกอบรม ที่ price trade center ก็สามารถทำได้แล้ว )
สำหรับ mechanical finger (ตัวที่แทงต้นกล้าลงไปในโคลน) จะเคลื่อนที่จากขวาไปซ้าย เหมือนนาฬิกาเดินจากขวาไปซ้าย mechanical finger จะอยู่ติดกับโคลน เจ้าของแปลงนากล่าวไว้ว่าเครื่องนี้ช่วยให้งานของพวกเค้าง่ายขึ้นมาก มันมีประโยชน์มากจริงๆ พวกเราจึงมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้
เจ้าของแปลงนากล่าวว่า สมัยก่อนชาวนาลำบากมาก พวกเค้าต้องทำทุกอย่างเอง ไม่มีเครื่องทุนแรง
เมื่อดำนาเสร็จแล้วหลังจากนั้นอีก 8 วัน ต้นข้าวก็จะทรงตัวได้เองแล้ว และก็ต้องคอยดูแลเอาน้ำเข้าแปลงนาตลอด จนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
credit homemadejapan.blogspot.com
การเตรียมต้นกล้าสำหรับดำนา ประเทศญี่ป่น Rice nursery
ขั้นตอนที่หนึ่ง การเตรียมแปลง
1. เตรียมพื้นที่ หนึ่งแปลงสำหรับปลูกต้นกล้า ไถพื้นที่ให้เรียบเตียน เปิดน้ำเข้าพื้นที่เพื่อให้พื้นแชะคล้ายโคลน
2. เตรียมไม้ไผ่เพื่อมาร์คจุด วางลงไว้บนพื้น ความกว้างเท่ากับแผ่นพลาสติก( พลาสติกใช้สำหรับรองต้นข่าวอ่อน )
3. นำคลาด ลาก กวาดพื้นโคลนให้เรียบ เพื่อสร้างพื้นผิวสำหรับต้นกล้า
4. นำแผ่นพลาสติกบาง ความกว้างเท่ากับไม้ไผ่ที่เรามาร์คจุดไว้ เจาะรูแผ่นพลาสติกด้วย แล้วนำไปวางไว้บนโคลน จะเป็นฐานสำหรับปลูกต้นกล้า เอาโคลนกลบไว้บนขอบแผ่นพลาสติกนิดหน่อย กันแผ่นพลาสติกปลิว ( เหตุผลที่นำแผ่นพลาสติกมาวางลงไว้บนพื้นโคลนก่อน ก็คือว่าเมื่อเวลาถอดต้นกล้า จะได้ถอดง่าย ต้นกล้าไม่จมดิน )
สี่ขั้นตอนข้างต้นเป็นขั้นตอนของการเตรียมดิน ขั้นตอนในการปลูกต้นกล้าของญี่ปุ่นเค้านั้น ง่ายสบายกว่าเมืองไทยบ้านเราเยอะเลยครับ บ้านเรานั้นยังต้องถอดกล้ากันอยู่เลย
ขั้นตอนที่สอง การเตรียมต้นกล้า
1. การเตรียมเมล็ดข้าวสำหรับเพาะต้นกล้านั้น พวกเค้าจะทำกันที่ ศูนย์การค้าข้าวหรือเรียกว่า price trade center ซึ่งจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและสิ่งอำนวยการสะดวกช่วยในการทำงานของพวกเค้า
2. เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว และก็สารกำจัดศัตรูพืช ลงไปในถาดเพาะต้นกล้า ซึ่งขั้นตอนตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าเครื่องไฟฟ้า ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ชาวญี่ปุ่นคิดค้นขึ้นครับ ตามตัวอย่างที่เห็นอยู่ในคลิปครับ
3. ยกถาดเมล็ดต้นกล้าขึ้นบนรถบรรทุก เพื่อที่จะนำถาดเมล็ดต้นกล้าไปวางลงแปลงที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง
4. นำถาดเมล็ดต้นกล้า วางไปลงบนแผ่นพลาสติก วางจนเต็มแผ่นพลาสติก ตรงขั้นตอนที่ 4 นี่ ก็จะได้แปลงเพาะต้นกล้าแล้ว ( nursery beds )
5. เมื่อได้แปลงเพาะต้นกล้าแล้ว ก็ถึงคราวที่จะต้องนำผ้าบางๆ คล้ายมุ่งมาคลุมแปลงต้นกล้า เพื่อกันนกมาจิกกินเมล็ดข้าว กันลมและกันฝน ปิดให้สนิท
6. เปิดน้ำเข้าแปลงต้นกล้า ( floodgates ) ระบบชลประทานที่ญี่ปุ่นเป็นระบบชลประทานคอนกรีต ขนาดเล็กเข้าถึงพื้นที่ของชาวนาทุกแปลง ทำให้ชาวนาควบคุมน้ำที่จะเข้าไปในแปลงข้าวได้ง่ายขึ้น
From homemadejapan.blogspot.com
วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554
เริ่มต้นเป็นชาวนาและกว่าจะได้เมล็ดข้าว แบบดั้งเดิม
อันดับแรกข้อ1 อันนี้ก่อนที่จะลงนาทุกๆครั้งต้องใส่ปุ๋ยขี้วัวขี้ควายก่อน ซึ่งแถวบ้านผมนิยมใช้เพราะเลี้ยงกันเยอะเเถมรักษาระบบนิเวศวิทยาได้ดี ขั้นตอนก็คือตักมูลหรือขี้ที่ภาษาบ้านเราเรียกกัน การใส่ในที่นานั้นมักใส่กันเป็นกองๆเป็นจุดเเล้วค่อยมาหว่านเพื่อกระจายไปในที่ต้นข้าวไม่งามโดยดูจากปีที่ผ่านมา การใส่ฝุ่นส่วนมากเเล้วจะทำระหว่างปลายเดือนเมษายน
กองฝุ่นหรือปุ๋ยที่มาจากขี้วัวเเละควาย
อันดับ2 การไถนาหุด(ดะ) การไถนี้ก็เพื่อเป็นการไถเพื่อพรวนดินกลบตอฟางที่ตายเเละฆ่าหญ้าเพื่อทำเป็นปุ๋ย
การไถหุด
อันดับที่3 การตกกล้าหรือภาษาไทยเรียกว่าการเพาะพันธ์ข้าว ขออนุญาตท่านก็เเล้วกันเพราะตัวผมจะว่าไปเเล้วการพูดภาษาไทยนั้นบอกตามตรงเลยว่ากระผมนั้นสามปีใช้เเค่ไม่กี่คำ ถ้าเขียนเเละอ่านก็ได้ครับ(หากพุดภาษาไทยที่บ้านผมรับรองเลยว่าโดนต่อยปากเจ่อครับ) การตกกล้าแถวบ้านผมจะเริ่มทำปลายเดือนเมษายนเขาเรียกว่า ตกกล้าบก หากตกกล้าน้ำจะประมาณก็ประมาณกลางๆพฤษภาคม เพราะเข้าสู่ฤดูฝนเต็มรูปแบบ( การเพาะพันธุ์ข้าวนั้นใช้เมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัมต่อไร่ เมือต้นกล้าอายุได้ 30 วัน จึงทำการถอนกล้าไปปลูก )
การตกกล้าบกและกล้าน้ำ
สภาพของกล้าน้ำ
ขั้นตอนที่4เข้าสู่การทำนาเต็มรูปแบบ ขั้นตอนนี้หละครับที่เหนื่อยมากๆ เมื่อถึงเดือนมิถุนายนฤดูการทำนาปักดำไถหว่าน เริ่มเเล้ว ก่อนการปักดำต้องไถเเละหลก(ถอน)กล้า เพื่อนำไปปักดำ โดยการหลกกล้ามักจะเเบ่งเป็นมัดๆ โดยนิยมนับกันดังนี้
๔ มัดเป็น ๑ขบ ๑๐ ขบเป็น๑ปุง โดยเนื้อที่ประมาณ๑ไร่ใช้กล้าในการดำประมาณ๑๒๐มัดหรือ ๓ ปรุง
การหลก(ถอน)กล้า
5.การไถดำขั้นตอนนี้ถือว่ายากนิดนึงเพราะต้องทำหลายขั้นตอน ตั้งเเต่ไถ คราด เเละซ่อมเเจนา(คือการทำพื้นที่ให้เข้าไปปักดำได้เช่นขุดโดยการใช้จอบ) การคราดก็คือการปรับสภาพดินให้ได้ใกล้เคียงกันที่สุดเพราะโดยสภาพทั่วไปของบ้านผม มักมีที่ราบที่โนนเเตกต่างกันไป
การไถนาเพื่อปักดำ
6.การดำนา ในการดำนานั้นหากคนที่เก่งจริงพื้นที่หนึ่งไร่จะใช้เวลาในการดำประมาณสามวันไม่รวมการถอนกล้า เพราะการหลกหรือถอนภายในหนึ่งวันจะได้ไม่เกินหนึ่งร้อยมัด การดำนาต้องใช้กำลังขาเป็นพิเศษต้องหน้าต้องก้มอยู่กับดินตลอดเวลาเเละที่สำคัญร้อนมากเพราะเเสงพระอาทิตย์จะสะท้อนใส่หน้าคนดำนาจะตลอดเวลา ( การปักดำนั้นจะใช้ต้นกล้า 3 ต้นต่อกอข้าว ระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถว 50 เซนติเมตร )
แสงสะท้อนจากพระอาทิตย์ซึ่งชาวนาจะอยู่กับเเสงตลอดวัน
หลังจากปักดำเสร็จเเล้วใช่ว่าจะหนีจากนาได้นะครับต้องรอดูเเละเฝ้าประจำว่าน้ำมากไปหรือเปล่าหรือว่าน้อยไป หากมากก็เป่ง(ปล่อย)น้อยก็ตันทางน้ำ(ดูคันนาว่ามีรอยรั่วไหม)เพราะบางพื้นที่คันนามีรอยรั่วเกิดกะพวกปูขุดรูในคันนา
ชาวนาเราลำบากมากครับ ข้าวที่เรากินเเต่ละวัน ข้าวที่ท่านเห็นมาจากเเรงงานชนชั้นรากหญ้าของประเทศ ชาวนาคู่กับคนไทยมานานนับร้อยปี หากจะถามว่าชาวนาเราทำไมไม่รวยสักที ตลอดชาติเเละตลอดไปในความคิดของผมบอกว่ายากครับ หากรวยหรือมีกินป่า่นนี้คงสบายไปนานเเล้ว ไม่ต้องรอมาถึงร้อยปีจนถึงปัจจุบัน เเต่สิ่งที่ได้จากการทำนาคือได้ผลผลิตพออยู่พอกิน มีรายได้เล็กๆน้อยๆจากการขายแม้จะไม่ได้มากแต่ก็ถือว่าได้ สิ่งที่ชาวนาอย่างพวกผมภูมิใจหนักหนาคือเงินจากการขายผลิตเเละหยาดเหงื่อไม่ได้คดโกงใครมา มีเเต่จะถูกโกงด้วยซ้ำ เงินเหล่านี้สามารถให้โอกาสกับลูกๆได้มีโอกาสสบายไม่ได้ลำบากเหมือนกับปู่ย่าตายายเเละพ่อเเม่ นั้นก็คือเด็กๆและคนทั่วไปที่เป็นลูกชาวนาในอดีต ปัจจุบันเรียนหนังสือจบสูงๆมีงานทำที่ดีไม่ต้องมาเปื้อนขี้โคลนขี้ตมในทุ่งไร่ทุ่งนา เเละเด็กๆโดยส่วนมากในปัจจุบันมักจะเป็นลูกเเก้วอยู่กับความสบายตลอด คุณละครับท่านผู้อ่านที่เคารพคุณลืมสภาพเก่าหรือยัง ลูกชาวนา
( outside ) การควบคุมระดับน้ำในนาข้าวนั้นสำคัญมาก โดยจะต้องระบายน้ำให้ท่วมสูงประมาณ 10 เซยติเมตร จนกว่าต้นข้าวจะแตกกอ ระหว่างนี้ระดับน้ำไม่เกิน 15 เซนติเมตร เมื่อข้าวออกร่วงก็ระบายน้ำออกให้หมด
พืชทุกชนิดล้วนมีศัตรูพืช ศัตรูชนิดหนึงของข้าวก็คือเพลี้ยโดยในวิถีเกษตรอินทร์นั้นนิยมใช้นำหมักชีวภาพจากสะเดา ฉีดพ้นให้ทั่วลงแปลงนาก็สามารถกำจัดได้แล้ว นอกจากนี้น้ำมันดอกสะเดายังลดปูนากัดกินต้นข้าวได้อีกด้วย เมื่อปูสัมผัสน้ำมันดอกสะเดาจะเกิดอาการกล้ามหลุด เมื่อปูนากล้ามหลุดก็ไม่สามารถกัดกินต้นข้าวได้ ส่วนหอยเชอรี่นั้นกำจัดได้ด้วยยางมะละกอเมื่อหอยเชอรี่ถูกยางมะละกอจะเป็นอัมพาธและตายในที่สุด
ในความเป็นจริงเมล็ดข้าวจะมีการกลายพันธุ์ ดังนั้นเมล็ดพันธุ์ข้าวควรจะเปลี่ยนทุกๆ 3-4 ปี
เมล็ดพันธุ์ข้าว เมื่อเมล็ดพันธุ์ข้าวดี การผลิตข้าวของเกษตรกรมีการควบคุมที่ดี การเตรียมดิน การปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว ก็จะให้ผลผลิตสูงต่อไร่และข้าวมีคุณภาพดีไม่หักง่าย
กว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีนั้น เริ่มต้นจากการวิจัย ศึกษาสายพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด ข้อดีข้อเสีย จนนำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์ ทดสอบผลของการวิจัย ดังนั้นการได้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีจึงใช้เวลาหลายปี
วิธีขยายพันธุ์ข้าวให้เป็นที่นิยม คงจะอยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของใครไม่ได้นอกจากกรมการค้าข้าว ขั้นตอนแรก ทำการคัดเลือกตัวแทนเกษตรกรและพื้นที่ปลูก เกษตรกรผู้มีความสนใจ ( เกษตรกรผู้สนใจคงมีฐานะอยู่ไม่น้อย ลำพังเกษตกรหาเช้ากินค่ำย่อมเป็นไปไม่ได้ ) ปฏิบัติตามกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ โดยอยู่ภายใต้การติดตามดูแลของเจ้าหน้าที่ ขั้นตอนต่อมา การเตรียมแปลง นับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับการเตรียมแปลงขยายเมล็ดพันธุ์ข้าว ไหนจะต้องกำจัดวัชพืช กำจัดเมล็ดข้าวที่ตกค้างอยู่ในนาจากการเก็บเกี่ยวเมื่อครั้งทำนาก่อนหน้านั้น( วิธีนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ปล่อยน้ำเข้านา เมื่อเมล็ดข้าวที่ตกค้างอยู่ในนางอกได้ที่พอสมควร แล้วไถกลบ ง่ายไหมละครับท่าน หรือเรียกง่ายๆก็คือ วิธีกำจัดพันธุ์ปน) ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ต้องระวังไม่ให้มีการปะปนพันธุ์ เพราะจะมีการตรวจคุณภาพก่อนการจัดซื้อ หากเมล็ดพันธุ์มีคุณภาพก็จะถูกซื้อคืนจากกรมการค้าข้าว
ท้ายสุดนี้หากเมล็ดพันธุ์ใดได้รับความนิยม ก็จะโด่งดังไปโดยปริยาย โดยปากต่อปากของเกษตรกรผู้ทดลองปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวเอง เรียกได้ว่าเป็นการทำการตลาดไปด้วยในตัว ดีกว่าที่กรมการค้าข้าวทำการขยายพันธุ์เอง ( ความคิดเห็นส่วนตัว )
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก bannangio.com
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
การเกี่ยวข้าวที่ไต้หวัน
การทำนาแบบไต้หวัน
จากแผนที่เราคงเห็นว่าไต้หวันล้อมรอบด้วยทะเลทั้งสี่ทิศ โอบอ้อมด้วยมหาสมุทร ด้านเหนือ ของไต้หวันจดทะเลตงไห่ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือคือ หมู่เกาะลิวกิว ด้านตะวันออกคือ มหาสมุทรแปซิฟิค ไต้หวันตั้งอยู่ระหว่างแถบโซนอบอุ่น กับแถบโซนร้อน จึงมีอากาศแถบ โซนร้อนและใกล้แถบโซนร้อน เนื่องจากมีทะเลล้อมอยู่ทั้ง 4 ด้าน ทั้งถูกกระทบ กระเทือนจากลมฤดูกาลในมหาสมุทร จึงมีอากาศดีตลอดปี ฤดูหนาวไม่หนาวจัด และฤดูร้อนก็ร้อนไม่มาก นอกจากเขตภูเขาสูง อุณหภูมิถัวเฉลี่ยต่อปีประมาณ 22 องศาเซนเซียส เขตทั่ว ๆ ไปไม่มีหิมะและน้ำแข็งตลอดปี หิมะมักจะมีอยู่บน ภูเขาที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 3000 เมตรขึ้นไป ไต้หวันมีฝนตกชุก มีพายุต่อนข้างมาก
พื้นที่ไต้หวันมีครึ่งหนึ่งขึ้นไปเป็นพื้นที่ที่คลุมด้วยป่าไม้ กว้างกว่าสวิสเซอร์ แลนด์ที่ได้รับสมญานามว่าบ้านเมืองป่าไม้ในยุโรป 1 เท่าตัว ปริมาณภัณฑ์ไม้สำรองมีถึง กว่า 300 ล้านลูกบาตรเมตร พัยธุ์ไม้ของไต้หวันมีร่วม 4000 ชนิด เป็นสวนพฤษชาติ ธรรมชาติที่มีชื่อดังในเอเซีย มีื 4 ใน 5 เป็นป่าไม้เศรษฐกิจ ไต้หวันมีต้น การบูรมากที่สุดในโลก การบูรและเม็ดการบูรเป็นสินค้าสำคัญอย่างหนึ่งของไต้หวัน ปริมาณการผลิตเป็นประมาณร้อยละ 70 ของยอดปริมาณการผลิตทั่วโลกไต้หวันมีสินในน้ำทะเลอุดมสมบูรณ์มาก ปลามี 500 กว่าชนิด เมืองเกาสง จีหลง ซูอ้่าว หวาเหลียน ซินก่างและเผิงหู เป็นต้นล้วนเป็นแหล่งจับปลาที่มีชื่อดัง
การทำนาของไต้หวันที่เมืองไถจงนั้น เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จเเล้วนิยมหว่านเมล็ดผักกาดเพื่อพักดินให้มีโอกาสพัก เเละผักกาดคือปุ๋ยอย่างดี การเพาะพันธุ์ต้นกล้าเพาะใส่ในถาดพลาสติค รอระยะต้นกล้ายาวเเล้ว ค่อยไปปักดำโดยใช้รถปักดำ โดยขั้นตอนของเขา สามขั้นตอน คือ เพาะพันธุ์ ไถ ดำ ขณะที่บ้านเรา เพาะพันธ์ ไถ คราด ถอน ดำโดยใช้เเรงงานคนยกเว้นแค่ไถเพราะใช้คนบวกเครื่องจัก ส่วนไต้หวันนั้นล้วนๆ คือเครื่องจักร ที่นี้เรามาดูการทำนากันเลย ขั้นตอนเเรก นำต้นกล้ามาใส่ที่รถปักดำเลย
เกษตรกรไต้หวันนำต้นกล้าที่เพาะในถาดพลาสติค มาใส่ในรถปักดำ เพื่อจะเริ่มทำการปักดำ
ตอนนี้เริ่มปักดำแล้วน่ะครับ
ส่วนไหนรถไม่สามารถเข้าใด้ คนคือเเรงงานที่ดีที่สุด เข้าได้ทุกซอกมุม
เป็นยังงัยครับการทำนาที่ไต้หวันนั้นใช้เวลาในการทำน้อยมากเเละไม่เหนื่อย เพราะที่นั้นพึ่งพาเทคโนโลยี่ คนที่ปลูกข้าวที่ไต้หวันคือบุคคลที่ได้รับการเชิดชูอย่างมาก เเละที่สำคัญไต้หวันคือประเทศที่ดำเนินการควบคู่ได้ดีประเทศหนึ่ง อุตสาหกรรมควบคู่เกษตรกรรม
ขอขอบคุณที่มาของภาพและข้อมูลจาก bannangio.com